เอเจนซีส์ – อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ลูก ออกแถลงการณ์วันนี้(4 พ.ย.) ไว้อาลัยข่าวการเสียชีวิตของอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนีย์ ในวัย 84 ปีว่า ประวัติศาสตร์จะต้องจดจำในฐานะชายผู้รักชาติเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศ เบื้องหลังแคมเปญสงครามต่อต้านก่อการร้ายทั้งในอิรักและอัฟกานิสถานหลังนั่งดูหน้าจอเห็นตึกแฝดเวิลด์เทรดไฟไหม้ที่ทำเนียบขาวเมื่อ 11 ก.ย ปี 2001 ประกาศไม่เคยเสียใจที่ได้ทำไปเพื่อปกป้องแผ่นดินอเมริกาท่ามกลางตัวเลขผู้เสียชีวิตกว่า 800,000 คนในสงครามอเมริกาต่อต้านก่อการร้ายตั้งแต่สมรภูมิอิรักโค่นซัดดัมไปจนถึงเยเมนและปากีสถาน
CNN ของสหรัฐฯรายงานวันอังคาร(4 พ.ย)ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิล ยู บุช ในวันนี้(4)ออกแถลงการณ์แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ ดิก เชนีย์ ที่เคยทำงานร่วมเขาในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ถึง 2 สมัยระหว่างปี 2001 – ปี 2009
เขากล่าวอาลัยถึงคู่หูว่า เป็นบุคคลที่ดีและเป็นชายที่มีเกียรติ “ประวัติศาสตร์จะจดจำเขาในฐานะหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคของเขา บุคคลผู้รักชาติที่นำความเที่ยงตรง ปัญญาชาญฉลาด และมุ่งมั่นมาสู่ในทุกตำแหน่ง”
อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษ บุชยังรำลึกไปถึงเมื่อครั้งได้เคยร้องขอให้เชนีย์ที่เคยทำงานในฐานะหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Ford)ในการให้เข้ามาเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2000
โดยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “ผมยังคงรู้สึกซาบซึ้งที่เขาอยู่เคียงข้างผมเป็นเวลา 8 ปี ดิค เป็นคนสุขุมและมักปรากฎตัวเสมอในทำเนียบขาวท่ามกลางความท้าทายประเทศอย่างมหาศาล ผมพึ่งพาต่อความซื่อสัตย์ของเขา ที่ปรึกษาที่ตรงไปตรงมา และเขาไม่เคยล้มเหลวในการให้สิ่งที่ดีที่สุด เขายึดมั่นต่อความเชื่อของตัวเองและให้ความสำคัญสูงสุดไปที่เสรีภาพและความมั่นคงของประชาชนอเมริกัน”
เดอะการ์เดียนของอังกฤษชี้ว่า เชนีย์ ที่เคยทำงานรับใช้มาตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ริชาร์ด นิกสัน ไปจนถึงอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช นั้นถูกจดจำจากหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะสถาปนิกผู้ออกแบบการทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายหลังเหตุการณ์ 9/11
ด้านตระกูลเชนีย์ออกแถลงการณ์มีใจความในตอนหนึ่งถึงการจากไปของดิก เชนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีอเมริกันผู้ทรงอำนาจและแกนนำพรรครีพับลิกันที่จากไปในขณะที่มีอายุ 84 ปี
“ลินน์ (Lynne)ภรรยาที่รักของเขาที่แต่งงานมานาน 61 ปี บุตรสาวทั้งสอง ลิซ (Liz) และ แมรี (Mary) และสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆอยู่ร่วมกับเขาในขณะที่จากไป” รายงานจากแถลงการณ์ของครอบครัว และเสริมว่า เชนีย์เสียชีวิตด้วยอาการแทรกซ้อนจากโรคนิวมอเนียและโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ
CNN ของสหรัฐฯรายงานว่า ในช่วงท้ายๆของชีวิต เขายังคงเป็นสายเหยี่ยวภายในพรรคถึงแม้จะมีอายุมากแล้วและยืนหยัดเคียงข้างบุตรสาว ลิซ เชนีย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ต่างจากอดีตสว.รัฐแอริโซนา จอห์น แม็คเคน โดยเชนีย์ที่ยอมโหวตเลือกอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯพรรคเดโมแครตคู่แข่ง กมลา แฮร์ริส ได้ตราหน้าทรัมป์ว่า “ขี้ขลาด” และเป็นภัยมหันต์อย่างไม่เคยมีมาก่อนต่อสาธารณรัฐอเมริกา
ภาพเป็นที่จดจำนอกเหนือจากเชนีย์จะคอยยืนเคียงข้างอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ลูก แล้วยังรวมไปถึงภาพเชนีย์กำลังนั่งเฝ้าจับตาสถานการณ์ตึกเวิลด์เทรดที่โดนเครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนจนเกิดไฟไหม้จากออฟฟิศของตัวเองในทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 11 ก.ย ปี 2001 และภาพอดีตรองประธานาธิบดีเชนีย์กำลังมองเครื่องบินรบขับไล่ F-18 บินออกจากเรือรบสหรัฐฯ USS John C. Stennis กลางทะเลอาหรับเพื่อมุ่งหน้าสู่อัฟกานิสถานเมื่อวันที่ 15 มี.ค ปี 2002
CNN รายงานว่า เชนีย์เคยกล่าวว่า “ในวินาทีที่คุณรู้ว่านี่เป็นการกระทำอย่างตั้งใจ นี่เป็นการก่อการร้าย” และเล่าว่า เขากลายเป็นคนใหม่ มุ่งมั่นที่จะแก้แค้นต่อการโจมตีที่มาจากการวางแผนของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ และส่งกำลังทหารอเมริกาไปถึงตะวันออกกลางพร้อมหลักการนีโอคอนเซอร์เวตีฟเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและสงครามแบบพรีเอ็มทีฟหรือสงครามโจมตีก่อน
รวมไปถึงเป็นคนสั่งการอนุญาตให้ยิงครื่องบินที่ถูกจี้ให้ตกที่มีทิศทางกำลังมุ่งหน้าสู่ทำเนียบขาวหรือรัฐสภาสหรัฐฯ
และเป็นหลายครั้งที่อดีตรองประธานาธิบดี ดิก เชนีย์ต้องหลบไปอยู่ที่เซฟเฮาส์ลับนอกกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อปกป้องหากในกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาคับขันของอเมริกา และกลายเป็นภาพที่เปิดเผยโดยสื่อไปทั่วว่า เขาเป็นผู้กำกับสงครามจากด้านหลัง
สื่อสหรัฐฯชี้ว่า เขาเป็นสัญลักษณ์การทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายที่มากไปและล้มเหลวการข่าวกรองในอาวุธมหาประลับในอิรักรวมไปถึงการวางแผนที่ผิดพลาดจนทำให้การบุกอิรักที่ดูประสบความสำเร็จในช่วงแรกกลับกลายต้องเสียเลือดเสียเนื้อเป็นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตามมาจนถึงช่วงท้ายของอายุขัย อดีตประธานาธิบดีเชนีย์ประกาศไม่เคยแม้แต่จะเสียใจ
“ผมจะทำซ้ำอีกครั้งในอีก 1 นาทีหลังจากนี้” เขากล่าวระหว่างให้การต่อหน้าคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาสูงสหรัฐฯ ที่ในรายงานปี 2014 สรุปว่าวิธีการสอบปากคำแบบก้าวหน้านี้โหดร้ายและไม่ได้ผลและทำให้อเมริกามีภาพลักษณ์เสียหายในสายตาทั่วโลก
เขาเคยกล่าวให้สัมภาษณต่อ CNN ในปี 2015 เกี่ยวกับสงครามอิรักว่า “มันสิ่งที่ถูกต้องในการต้องทำเช่นนั้น ผมเชื่อในเวลานั้นและผมในเวลานี้ยังคงเชื่ออยู่”
อย่างไรก็ตามสงครามต่อต้านก่อการร้ายของสหรัฐฯของเขา อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่า ยอดตัวเลขเสียชีวิตสูงมาก โดยอ้างอิงจากสถาบันวัตสันด้านการศึกษากิจการสาธารณะและต่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยบราวน์ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2001 มีผู้เสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่า 800,000 คนจากความรุนแรงโดยตรงของสงครามในอิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรีย เยเมน และปากีสถาน


