ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ แห่งญี่ปุ่น ได้ลงนามในข้อตกลงกรอบความร่วมมือเพื่อรับรองหารจัดหาแร่ธาตุหายาก (แรร์เอิร์ธ) เมื่อวันอังคาร (28 ต.ค.) ท่ามกลางเป้าหมายร่วมของทั้งสองชาติที่จะลดทอนการครอบงำของจีนในตลาดแร่ธาตุหายากซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
ผู้นำทั้งสองได้ลงนามในเอกสารข้อตกลงซึ่งรวมถึงเรื่องแร่ธาตุสำคัญ ณ พระราชวังอากาซากะ กรุงโตเกียว ท่ามกลางเสียงปรบมือจากคณะเจ้าหน้าที่
ทรัมป์ และ ทาคาอิจิ ไม่ได้เอ่ยพาดพิงถึงจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตแร่ธาตุหายากกว่า 90% ของโลก และเป็นต้นตอความกังวลของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุ หลังปักกิ่งได้ขยายข้อจำกัดด้านการส่งออกเมื่อเร็วๆ นี้
ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน มีกำหนดพบกันในวันพฤหัสบดี (30) ในการประชุมข้างเคียงซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงระงับการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ และมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน
ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จะใช้เครื่องมือด้านนโยบายเศรษฐกิจและความร่วมมือด้านการลงทุนเพื่อเร่ง "การพัฒนาตลาดที่หลากหลาย มีสภาพคล่อง และเป็นธรรมสำหรับแร่ธาตุสำคัญและแร่ธาตุหายาก" และมีเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการที่ได้รับการคัดเลือกภายใน 6 เดือนข้างหน้า ตามข้อมูลจากทำเนียบขาว
ทั้งสองประเทศยังจะพิจารณาข้อตกลงว่าด้วยการกักตุนแร่ธาตุที่ส่งเสริมกันและกัน และร่วมมือกับชาติพันธมิตรอื่นๆ เพื่อรับประกันความมั่นคงปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทาน
แม้จีนจะเป็นประเทศใหญ่ที่ครองตลาดแร่หายาก ทว่าสหรัฐฯ และพม่าก็ครองส่วนแบ่งการสกัดแร่ธหายากทั่วโลก 12% และ 8% ตามข้อมูลของ Eurasia Group ขณะที่มาเลเซียและเวียดนามครองส่วนแบ่งการแปรรูปอีก 4% และ 1% ตามลำดับ
ญี่ปุ่นได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 550,000 ล้านดอลลาร์ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่กว้างขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการผลิตไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และด้านอื่นๆ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว
ก่อนการเดินทางเยือนเอเชียของทรัมป์ สหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ประเทศที่ยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย รวมถึงญี่ปุ่น ระงับการนำเข้า และได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุด 2 รายของมอสโก ได้แก่ Rosneft และ Lukoil เพื่อกดดันให้เครมลินยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน
ญี่ปุ่นได้เพิ่มปริมาณการซื้อ LNG จากสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อแสวงหาแหล่งก๊าซทางเลือกนอกเหนือจากออสเตรเลียซึ่งเป็นซัพพลายเออร์หลัก และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสัญญาจัดหา LNG จากโครงการ Sakhalin-2 ของรัสเซีย ซึ่งบริษัท Mitsui และ Mitsubishi ได้ช่วยเปิดตัวในปี 2009 และกำลังจะหมดอายุลง
เมื่อเดือน มิ.ย. JERA ซึ่งเป็นผู้ซื้อก๊าซ LNG รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้ตกลงซื้อ LNG จากสหรัฐฯ สูงสุด 5.5 ล้านเมตริกตันต่อปี ภายใต้สัญญา 20 ปี โดยจะเริ่มส่งมอบในราวปี 2030 ซึ่งเป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่นนำเข้าจากโครงการ Sakhalin-2 ในแต่ละปี
อุปทานส่วนใหญ่จากโครงการ Sakhalin-2 ซึ่งครอบคลุมความต้องการก๊าซธรรมชาติของญี่ปุ่น 9% จะสิ้นสุดลงในปี 2028-2033
ญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียไม่ถึง 1% ภายใต้การยกเว้นมาตรการคว่ำบาตร โดยน้ำมันส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาจากตะวันออกกลาง
สัปดาห์ที่แล้ว Tokyo Gas ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อสั่งซื้อ LNG จำนวน 1 ล้านเมตริกตันต่อปีจากโครงการ Alaska LNG ซึ่งคล้ายกับประกาศของ JERA เมื่อเดือน ก.ย.
JERA ให้คำมั่นสัญญาลงทุน 1,500 ล้านดอลลาร์สำหรับสินทรัพย์ก๊าซธรรมชาติในรัฐลุยเซียนา ซึ่งถือเป็นการบุกเบิกการผลิตขั้นต้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี Tokyo Gas และ Mitsui เข้าไปประกอบกิจการอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นคนหนึ่งยอมรับว่า ญี่ปุ่นต้องการนำเข้า LNG จากโครงการ Sakhalin-2 ต่อไปเพื่อควบคุมราคาไฟฟ้า เนื่องจากใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการขนส่ง LNG จากรัสเซียมายังญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับเวลาประมาณ 1 สัปดาห์จากรัฐอะแลสกา และประมาณ 1 เดือนจากชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกา
“สหรัฐฯ บอกว่าต้องการให้ญี่ปุ่นหยุดนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย แต่แหล่ง LNG นี้เป็นแหล่ง LNG ที่ใกล้ญี่ปุ่นที่สุด และยังมีราคาถูกอีกด้วย” โนบุโอะ ทานากะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทที่ปรึกษา Tanaka Global, Inc. กล่าว
“ผมคิดว่าคำถามควรถูกตีกรอบแบบนี้: สหรัฐฯ สามารถจัดหา LNG ให้ญี่ปุ่นได้ในราคาที่ถูกเท่ากับที่ส่งมาจากรัสเซียในปัจจุบันหรือไม่? ก๊าซจากอะแลสกาจะมีราคาถูกขนาดนั้นได้จริงหรือ?”
ที่มา: รอยเตอร์


