xs
xsm
sm
md
lg

'จีน-อาเซียน' ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรี 3.0 ครอบคลุมประเด็นดิจิทัล-ศก.สีเขียว-อุตสาหกรรมใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และจีนได้ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรีฉบับปรับปรุงในวันอังคาร (28 ต.ค.) ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และอุตสาหกรรมใหม่อื่นๆ

อาเซียนซึ่งมีสมาชิก 11 ประเทศถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีมูลค่าการค้าทวิภาคีรวม 771,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ตามสถิติของอาเซียน

จีนกำลังพยายามกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรับมือกับภาษีนำเข้าที่สูงลิ่วของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บังคับใช้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ปักกิ่งพยายามวางตำแหน่งตนเองให้เป็นเศรษฐกิจที่เปิดกว้างมากขึ้น แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากมหาอำนาจอื่นๆ เกี่ยวกับการเพิ่มข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากและแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ

ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนฉบับปรับปรุง 3.0 (ASEAN-China Free Trade Area 3.0 Upgrade) ถูกลงนามประกาศใช้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย ซึ่ง ทรัมป์ ได้เข้าร่วมเมื่อวันอาทิตย์ (26) ระหว่างเริ่มต้นภารกิจการเดินทางเยือนเอเชีย

การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนที่ปรับปรุงใหม่นี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2023 จนมาแล้วเสร็จในเดือน พ.ค. ปีนี้ หลังจากการรุกคืบด้านภาษีของทรัมป์ ข้อตกลงการค้าเสรีฉบับแรกมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2010

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนเคยระบุว่าข้อตกลงนี้จะปูทางไปสู่การเข้าถึงตลาดที่ดีขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น เกษตรกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และเวชภัณฑ์ ระหว่างจีนและอาเซียน

ทั้งจีนและอาเซียนต่างเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมประชากรเกือบ 1 ใน 3 ของโลก และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศรวมกันประมาณ 30% ของโลก

มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด RCEP ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันจันทร์ (27) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี

นักวิเคราะห์บางคนมองว่า RCEP เป็นกันชนที่มีศักยภาพในการรับมือกับอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ กำหนด แม้ว่าบทบัญญัติของ RCEP จะถือว่าอ่อนแอกว่าข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากผลประโยชน์ที่แข่งขันกันระหว่างประเทศสมาชิก

ที่มา: รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น