(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/10/the-rare-earths-race-is-already-over-and-china-won/)
The rare earths race is already over and China won
by Nigel Green
21/10/2025
การที่จีนอยู่ในฐานะครอบงำแร่แรร์เอิร์ธในปัจจุบัน เป็นผลลัพธ์ของการจัดวางยุทธศาสตร์ระยะยาวไกลนับสิบๆ ปี และเวลานี้ก็ทำให้แดนมังกรอยู่ในตำแหน่งซึ่งสามารถกำหนดรูปโฉมอนาคตของอุตสาหกรรมอันสำคัญยิ่งยวดนี้
ประเทศจีนอยู่ในตำแหน่งซึ่งดีกว่าชาติอื่นใดที่จะชนะการแข่งขันอาวุธแรร์เอิร์ธ ซึ่งเวลานี้กำลังมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเปลี่ยนโฉมปรับแปลงรูปทั้งการค้า, เทคโนโลยี, ตลอดจนการลงทุนในทั่วโลก
ขณะที่วอชิงตันกำลังยกระดับขยายแนวทางการต่อสู้ของตน โดยพยายามลดการพึ่งพาอาศัยปักกิ่งลง ดังเห็นได้จากการทำข้อตกลงว่าด้วยแร่ธาตุสำคัญยิ่งยวดฉบับใหม่กับออสเตรเลียที่เพิ่งมีการลงนามกันเมื่อวันจันทร์ (20 ต.ค.) ที่ผ่านมา แต่ความเป็นจริงก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความสามารถในการควบคุมวัสดุที่เป็นตัวให้พลังแก่โลกสมัยใหม่ตัวนี้กำลังเอนเอียงไปอยู่ทางข้างจีนเพิ่มขึ้นทุกที ไม่ใช่หดหายถอยห่างออกมาแต่อย่างใด
สหรัฐฯกำลังเปิดฉากการรณรงค์เชิงรุกอย่างดุดันเพื่อช่วงชิงห่วงโซ่อุปทานด้านแรร์เอิร์ธของตนกลับคืน คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทุ่มเทเงินทองเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์เข้าไปในโครงการทำเหมืองทั้งที่อยู่ภายในสหรัฐฯและในชาติพันธมิตร รวมทั้งประกาศแผนการต่างๆ เพื่อการเก็บสำรองแร่ธาตุที่ทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์
กฎระเบียบในการขอใบอนุญาตกำลังถูกตัดให้สั้นลง, พวกข้อจำกัดด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมได้รับการผ่อนคลาย, และมาตรการอุดหนุนต่างๆ ถูกประกาศออกมาเพื่อจูงใจให้เกิดโรงงานแปรรูปแร่แห่งใหม่ๆ มันเป็นแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าอาจจะเป็นการกระทำที่ยังคงน้อยเกินไปและที่สำคัญก็คือสายเกินไปเสียแล้ว การนำหน้าของจีนไม่ใช่เพียงแค่ทิ้งห่างและมีขอบเขตกว้างขวางมากเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะเชิงโครงสร้างอีกด้วย
ปักกิ่งใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างฐานะเหนือกว่าใครๆ จนสามารถครอบงำตลอดทั่วทุกข้อต่อของห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ ตั้งแต่การขุดแร่ ไปจนถึงการเพิ่มความบริสุทธิ์ของแร่ และการเข้าสู่โรงงานทำให้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับนำไปใช้ได้ แดนมังกรเวลานี้เป็นผู้ควบคุมผลผลิตแรร์เอิร์ธจากเหมืองเอาไว้ได้ถึงราวๆ 70% ของผลผลิตทั่วโลก ยิ่งศักยภาพในการแปรรูปด้วยแล้ว อยู่ในระดับเกือบๆ 90% ทีเดียว
แร่ธาตุเหล่านี้คือเครื่องยนต์ที่มองไม่เห็นของระบบเศรษฐกิจยุคดิจิตอล และระบบเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มันถูกนำไปใช้ทั้งในเครื่องโทรศัพท์สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องกังหันลมสำหรับผลิตไฟฟ้าพลังลม, เซมิคอนดักเตอร์, และระบบอาวุธที่ติดอุปกรณ์นำวิถีให้พุ่งเข้าสู่เป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง หากไม่มีแร่ธาตุเหล่านี้ อุตสาหกรรมสมัยใหม่ก็จะต้องดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน
ขณะที่วอชิงตันเร่งรัดแผนการไล่ตามของตนให้ว่องไวยิ่งขึ้น จีนก็กำลังรักษาฐานะการนำของตนอย่างเหนียวแน่นขึ้นไปอีก มาตรการควบคุมการส่งออกใหม่ๆ ที่แดนมังกรประกาศบังคับใช้ในปีนี้ หมายความว่าเวลานี้บริษัทต่างๆ ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน จึงจะสามารถจัดส่งพวกแม่เหล็กแรร์เอิร์ธ หรือโลหะเจือ ที่มีแรร์เอิร์ธซึ่งต้นกำหนดมาจากจีนบรรจุอยู่ด้วยแม้เพียงจำนวนน้อยนิดไปยังต่างแดนได้ นอกจากนั้นเมื่อเร็วๆ นี้จีนยังเพิ่มธาตุแรร์เอิร์ธอีก 5 ชนิดเอาไว้ในบัญชีจำกัดควบคุมของตน หลังจากที่ประกาศคุมเข้ม 7 ชนิดในตอนต้นปี
นี่คือศิลปะแห่งการดำเนินกิจการบ้านเมืองในทางเศรษฐกิจชนิดที่ทำได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด ปักกิ่งเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการควบคุมซัปพลายหมายถึงการมีอิทธิพลเหนือตลาด และการมีอิทธิพลเหนือตลาดหมายถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางยุทธศาสตร์ที่ส่งผลเลยไกลไปจากเขตพรมแดนของตน
ความไม่สมดุลอย่างที่แดนมังกรครองความเหนือกว่ามากเช่นนี้ ไม่ใช่อยู่แต่เฉพาะในเรื่องแร่เท่านั้น จีนยังได้ทำให้เกิดการบูรณาการอย่างลึกซึ้งระหว่างภาคทรัพยากรแร่ธาตุของตน กับระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมการผลิตของตนอีกด้วย กล่าวคือ พวกมณฑลเดียวกันกับที่มีกิจการแปรรูปเพิ่มความบริสุทธิให้แก่ผลิตภัณฑ์แรร์เอิร์ธ ก็จะมีพวกโรงงานทำการผลิตแบตเตอรี, เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ , และเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนตั้งอยู่ด้วย
วิธีการจับกลุ่มเป็นพันธมิตรกันในแนวตั้งเช่นนี้ ทำให้จีนได้เปรียบทั้งในด้านต้นทุนและด้านความเร็วชนิดที่ไม่มีระบบเศรษฐกิจของชาติตะวันตกแห่งใดๆ สามารถแข่งขันได้ ในทางตรงกันข้าม ความพยายามของทางอเมริกันยังคงอยู่ในลักษณะแยกเป็นส่วนๆ , ขึ้นอยู่กับพวกบริษัทผู้รับจ้างรับเหมาภาคเอกชน, และต้องผ่านระบบพิจารณาอนุมัติที่สลับซับซ้อน, ตลอดจนอยู่ภายใต้วงจรแห่งการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมือง ซึ่งกลายเป็นตัวขัดขวางความสามารถในการวางแผนระยะยาว
ฐานะครอบงำของจีนจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ ปักกิ่งได้มีการศึกษาและระบุจำแนกออกมาอย่างชัดเจนว่า ต้องปฏิบัติต่อเรื่องแรร์เอิร์ธในฐานะที่เป็นทรัพยากรทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาหลายสิบปีแล้ว โดยสามารถสาวย้อนหลังไปไกลจนถึงทศวรรษ 1980 จากนั้นแดนมังกรก็บ่มเพาะพัฒนาความชำนาญ, ฝึกอบรมวิศวกร, และยอมรับผลลบต่างๆ ที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมชนิดซึ่งประเทศอื่นๆ พากันหลีกเลี่ยง
ขณะที่พวกระบบเศรษฐกิจฝ่ายตะวันตกพากันใช้วิธีนำเอากระบวนการหลายสิ่งหลายอย่างไปทำกันนอกประเทศด้วยเห็นว่าจะสามารถลดต้นทุนลงได้ (outsourcing) และตัดลดระเบียบกฎเกณฑ์ให้เหลือน้อยที่สุด (deregulating) จีนกลับเน้นหนักในเรื่องการสะสมศักยภาพทางการผลิต เวลานี้แดนมังกรมีความสามารถที่จะปล่อยศักยภาพดังกล่าวออกมาให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงภูมิรัฐศาสตร์ , ปรับเปลี่ยนรูปโฉมของซัปพลายและระดับราคาให้สอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติของตน
ความเสี่ยงสำหรับวอชิงตันอยู่ตรงที่ว่า การเข้าไปแทรกแซงจะมีแต่ทำให้ความผันผวนยิ่งเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดน้อยลง จากการที่เวลานี้สหรัฐฯทั้งกำลังใช้อัตราภาษีศุลกากร, การอุดหนุนพวกผู้ผลิตภายในประเทศ, และการสร้างคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ สหรัฐฯก็กำลังทำให้ตลาดแห่งนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ในวิถีทางซึ่งสร้างความไม่แน่ไม่นอนสำหรับบรรดาอุตสาหกรรมการผลิตในทั่วโลก
บริษัทที่ต้องพึ่งพาอาศัยความสามารถในการเข้าถึงวัสดุต่างๆ อย่างมีเสถียรภาพ เพื่อให้ได้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสะอาด เวลานี้กำลังเสมือนตกอยู่กลางสมรภูมิที่การสู้รบดำเนินอยู่อย่างดุเดือด ราคากำลังเหวี่ยงตัวขึ้นลงไปตามการประกาศต่างๆ ในเชิงนโยบาย แทนที่จะยึดโยงอยู่กับพวกปัจจัยพื้นฐาน และภาวะความไม่สามารถคาดการณ์ทำนายล่วงหน้าได้เช่นนี้ ก็เป็นการอำนวยผลดีให้แก่เพลเยอร์รายที่มีอำนาจควบคุมซัปพลายอย่างหยั่งรากลึกที่สุด ซึ่งก็คือ ประเทศจีน นั่นเอง
ภาวะย้อนแย้งอยู่ตรงที่ว่า ประเทศจำนวนมากเวลานี้ซึ่งกำลังหนุนหลังแรงขับดันของวอชิงตันในการเดินหน้าไปสู่ “ความเป็นเอกราชทางทรัพยากร” ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของจีนในการสร้างห่วงโซ่อุปทานทางเลือกใหม่ๆ ของพวกเขาขึ้นมา
แม้กระทั่งพวกเหมืองแห่งใหม่ๆ ในอเมริกาเหนือและออสเตรเลีย บ่อยครั้งก็จัดส่งวัตถุดิบที่ขุดออกมาได้ไปยังจีนเพื่อดำเนินกระบวนการทำให้แร่มีความบริสุทธิเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายตะวันตกอาจจะเป็นเจ้าของก้อนหินก้อนแร่เหล่านี้ ทว่าจีนคือเจ้าของสารเคมีและเทคโนโลยีทางเคมี
จากสภาวะเช่นนี้ ผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อการลงทุนจึงมีความลึกซึ้งมาก การปรับเปลี่ยนจัดตั้งองค์กรในการซื้อขายแร่ธาตุระดับโลกกันใหม่ กำลังขับดันให้เกิดวงจรทางอุตสาหกรรมอย่างใหม่ขึ้นมา เงินทุนกำลังไหลทะลักเข้าสู่การสำรวจ, การเพิ่มเปอร์เซนต์ความบริสุทธิ, การรีไซเคิล, และการวิจัยวัสดุที่อาจเป็นทางเลือกใหม่
กระนั้น ขณะที่พวกโปรเจ็กต์ของฝ่ายตะวันตกพยายามไล่ตามในเรื่องขนาด จีนก็กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องเข้าไปในแอฟริกาและละตินอเมริกา, กำลังสร้างความมั่นคงให้แก่พวกสัญญาข้อตกลงระยะยาวสำหรับอินพุตแร่ลิเธียม, โคบอลต์, และแร่ธาตุสำคัญยิ่งยวดอื่นๆ
บรรดาสถาบันทางการเงินและพวกรัฐวิสาหกิจของแดนมังกร กำลังร่วมมือประสานงานกันเพื่อรับประกันความสามารถในการเข้าถึงแร่ธาตุต่างๆ เหล่านี้ในอนาคต ผลลัพธ์ก็คือขณะที่ประเทศอื่นกำลังแข่งขันเพื่อไล่ตามให้ทันแดนมังกร แต่จีนเองกำลังล็อกซัปพลายของเจเนอเรชั่นถัดๆ ไปเอาไว้แล้ว
ตัวเลขหลายๆ ตัวสามารถบอกเล่าเรื่องราวเช่นนี้ให้เห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจน ตามข้อมูลที่เผยแพร่กันเมื่อเร็วๆ นี้ การส่งออกแรร์เอิร์ธของจีนได้ลดน้อยลงกว่า 8% เมื่อเปรียบเทียบกันแบบปีต่อปี มันไม่ได้เนื่องจากศักยภาพที่กำลังลดต่ำลง หากเป็นเพราะการจำกัดดึงรั้งเอาไว้อย่างตั้งใจ
ในเวลาเดียวกัน การบริโภคภายในประเทศของแดนมังกรก็กำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาครถยนต์ไฟฟ้าและภาคพลังงานหมุนเวียนของจีนเติบโตพุ่งพรวด มันคือการใช้เอาพุตของตัวเองมาป้อนอุตสาหกรรมของตนเพิ่มมากขึ้นแทนที่จะส่งออกให้แก่อุตสาหกรรมของทั่วโลก นี่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากฐานะความเป็นซัปพลายเออร์ สู่ความเป็นผู้บริโภคที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทำให้ฐานะของปักกิ่งยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
สำหรับบรรดานักลงทุนแล้ว การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยง แรร์เอิร์ธและพวกแร่ธาตุทางยุทธศาสตร์ทั้งหลายกำลังกลายเป็นรากฐานของสินทรัพย์ชั้นใหม่ซึ่งมีฐานะความสำคัญอยู่ตรงกลางระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์กับเทคโนโลยี ราคาจะเคลื่อนไหวไปตามนโยบายพอๆ กับขึ้นอยู่กับอุปสงค์ความต้องการ
การประกาศมาตรการเกี่ยวกับการบริหารจัดการการส่งออกทุกๆ ครั้ง, การเคลื่อนไหวเข้าครอบครองกิจการของภาครัฐทุกๆ คราว, การจับกลุ่มรวมตัวเป็นพันธมิตรใหม่ๆ ทุกๆ อย่าง จะมีผลกระทบต่อตลาดในทันที ความเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างวูบวาบจะเป็นไปอย่างเข้มข้น ทว่าสำหรับผู้ที่เข้าจับจองปักหลักได้อย่างมั่นคงตั้งแต่เนิ่นๆ และอย่างมีระเบียบวินัยแล้ว รางวัลที่จะได้รับก็มากมายเป็นกอบเป็นกำ
สำหรับรัฐบาลทั้งหลาย บทเรียนสำคัญมากจากเรื่องนี้ก็คือหนึ่งในบทเรียนเกี่ยวกับการมองการณ์ไกล ความสำเร็จของจีนเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรเท่านั้น มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ แดนมังกรเล็งเห็นตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าการเข้าควบคุมอินพุตทางกายภาพจะเป็นตัวนิยามจำกัดความดุลแห่งอำนาจทางเศรษฐกิจในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21
แดนมังกรได้สร้างศักยภาพขึ้นมา, ฝึกอบรมกำลังแรงงาน และกำหนดจัดวางสร้างความได้เปรียบ รวมทั้งใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากความได้เปรียบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางกฎระเบียบ ซึ่งเวลานี้กลายเป็นพื้นฐานรองรับอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของพวกเขา การลอกเลียนโครงสร้างเช่นนี้จะต้องใช้เวลากันเป็นหลายๆ ทศวรรษ ไม่ใช่แค่ระดับหลายๆ ปี การแข่งขันช่วงชิงกันในเรื่องแรร์เอิร์ธไม่เพียงแต่จะเป็นตัวนิยามจำกัดความปี 2026 หากยังทอดยาวถึงช่วงเวลาหลังจากนั้นไปอีก มันกำลังเปลี่ยนโฉมปรับรูปของการรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรต่างๆ , กำลังกำหนดเส้นทางการไหลเวียนทางการค้ากันใหม่, และกำหนดคำนิยามจำกัดความกันใหม่ในเรื่องวิธีการที่พวกนักลงทุนขบคิดพิจารณากันเกี่ยวกับความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สหรัฐฯสามารถที่จะทุ่มเทใช้จ่ายและออกกฎหมายระเบียบหลักเกณฑ์ แต่จีนนั้นได้ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสรรพเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่ทำไมขณะที่โลกย่างก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการแข่งขันชิงชัยทางทรัพยากรนี้ จีนคือผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า ความตระหนักรับรู้ถึงความเป็นจริงเรื่องนี้กำลังเริ่มกระเพื่อมไหวตัวออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านพวกตลาดการเงิน และมันจะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินต่างๆ ทางการลงทุนในตลอดทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจใหญ่ๆ ทุกๆ ระบบเศรษฐกิจ
การควบคุมแรร์เอิร์ธคือการควบคุมชีวิตสมัยใหม่เอาไว้นั่นเอง จากแบตเตอรีที่สะสมพลังงานไฟฟ้า ไปจนถึงพวกไมโคชิปที่ขับดันให้เกิดความก้าวหน้า ทุกๆ ความรุดหน้าทางเทคโนโลยีสำคัญๆ ต่างต้องพึ่งพาอาศัยห่วงโซ่อุปทานที่จีนนั่งเป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการเรียบร้อยแล้ว
ประเทศอื่นๆ ในโลกเพิ่งกำลังเริ่มต้นเกิดความเข้าใจกันในตอนนี้เองว่า มันมีราคาแพงลิบลิ่วขนาดไหน สำหรับการลงแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงหมุนกลับภาวะแห่งการต้องเป็นผู้พึ่งพาอาศัยดังกล่าวนี้
ไนเจล กรีน เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้งกลุ่มเดอเวียร์ (deVere Group) หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและองค์การด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) อิสระรายใหญ่ที่สุดของโลก เขาเขียนเรื่องให้เอเชียไทมส์อย่างสม่ำเสมอมานานปี


