ทรัมป์กล่าวคาดหวังในวันอังคาร (21 ต.ค.) จะบรรลุข้อตกลงการค้าที่ดีกับสี จิ้นผิง ระหว่างพบกันสัปดาห์หน้าที่เกาหลีใต้ แต่แล้วก็กล่าวหักมุมว่า ซัมมิตดังกล่าวอาจถูกยกเลิก เขาพูดเช่นนี้ขณะที่ทั่วโลกจับตาทริปเอเชียของผู้นำสหรัฐฯผู้นี้ว่า จะสามารถหรือไม่ในการช่วยคลี่คลายประเด็นปัญหาใหญ่หลายอย่าง ซึ่งเขาไม่อาจทำความผิดพลาดได้เลย
เดิมพันสูงสุดคืออนาคตเศรษฐกิจโลกที่ฝากความหวังว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในทางกลับกันหากผิดพลาด เรื่องร้ายหนักหนาสาหัสจะตกกับอุตสาหกรรมของอเมริกาที่รับผลพวงจากภาษีศุลกากรของทรัมป์อยู่แล้ว รวมถึงการลอยแพลูกจ้างรัฐบาล และวิกฤตการเมือง
ยุทธศาสตร์ทำอะไรแบบฉับพลันเฉพาะหน้า หรือ “ด้นสด” ที่ทรัมป์ใช้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีมีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ตัวอย่างเช่นแม้ฮามาสยอมปล่อยตัวประกันคืนให้อิสราเอล แต่ข้อตกลงหยุดยิงในกาซายังเปราะบาง ขณะที่สงครามการค้ากับจีนก็เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ และกองทัพรัสเซียยังโจมตียูเครนไม่พักแม้ทรัมป์พยายามอย่างหนักในการยุติความขัดแย้งก็ตาม
นอกจากนั้น ทริปเอเชียของทรัมป์ยังดูลึกลับซับซ้อน ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแผนการเดินทาง โดยตัวทรัมป์เองเพิ่งเปิดเผยยืนยันเมื่อวันจันทร์ (20 ต.ค.) ว่า จะไปร่วมซัมมิตสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่มาเลเซีย ก่อนบินต่อไปญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งที่นั่นตัวเขาอาจได้นั่งคุยกับสี
เมื่อวันอาทิตย์ (19 ต.ค.) ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ฟอร์ซ วัน”ว่า ตนเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำจีน และแย้มว่า จะลดภาษีให้แต่ปักกิ่งต้องตอบแทนด้วย เช่น สั่งซื้อถั่วเหลืองจากอเมริกา สกัดการไหลเวียนของพวกส่วนผสมยาเสพติดเฟนทานิล และยุติการจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธที่จำเป็นสำหรับการผลิตของอุตสาหกรรมไฮเทค
ถัดมาอีกวัน (20 ต.ค.) ทรัมป์ดูมั่นใจมากขึ้นและบอกว่า อเมริกาจะบรรลุข้อตกลงที่พิเศษสุดกับจีนซึ่งดีงามสำหรับทั่วโลกด้วย
ทว่า เมื่อถึงวันอังคาร (21 ต.ค.) ประมุขทำเนียบขาวกล่าวในงานเลี้ยงอาหารกลางวันพวกวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ทำเนียบขาวว่า “ดังนั้นในตอนนี้เราก็กำลังจะได้ข้อตกลงที่เป็นธรรม (กับปักกิ่ง) และผมคิดว่ากำลังจะมีการพบปะหารือที่ประสบความสำเร็จมาก แน่นอนทีเดียว มีผู้คนเยอะแยะที่กำลังเฝ้ารอคอยสิ่งนี้อยู่”
แต่จากนั้นเขาก็พูดแบบหักมุมว่า “มันอาจจะไม่เกิดขึ้นมาก็ได้ สิ่งต่างๆ สามารถเกิดขึ้นมาได้จาก ตัวอย่างเช่น อาจจะมีใครบางคนพูดขึ้นมาว่า ‘ผมไม่ต้องการที่จะพบหารือ มันน่ารังเกียจเกินไป’ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ารังเกียจหรอก”
สำหรับการเดินทางของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นทริปเอเชียครั้งแรกนับจากเข้ารับตำแหน่ง และแม้เคยต้อนรับผู้นำจำนวนมากจากภูมิภาคนี้ที่ทำเนียบขาว แต่ทรัมป์ไม่เคยกระชับความสัมพันธ์แนบแน่นแบบที่ทำกับผู้นำจากภูมิภาคอื่นๆ
แนวทางของผู้นำสหรัฐฯ ต่อเอเชียโฟกัสที่การใช้ภาษีศุลกากรบีบให้ประเทศต่างๆ ปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าที่เขามองว่า ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านี้ที่พึ่งพิงอเมริกาในฐานะตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดในโลกมีความหวาดวิตก นอกจากนั้นยังมีความกังวลเกี่ยวกับซัมมิตทรัมป์-สี และแนวโน้มที่ความบาดหมางระหว่างทั้งคู่อาจทำให้เศรษฐกิจระหว่างประเทศสับสนอลหม่าน
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลดขนาดทีมนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งสมัยแรก และปลดที่ปรึกษาจำนวนมากออกจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อแต่งตั้งกลุ่มผู้จงรักภักดีมาทำงานแทน
ไมเคิล กรีน ที่ทำงานในสภาความมั่นคงแห่งชาติในสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษาสหรัฐฯ ที่ซิดนีย์ บอกว่า ทรัมป์ยังคงไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสำหรับเอเชีย และทุกคนกำลังรอดูว่า สุดท้ายแล้วเขาจะไปเล่นงานประเทศไหน
กระนั้น ก็มีบางคนบางฝ่ายมองว่า แนวทางของทรัมป์ได้ผล
แอนโทนี คิม นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศของมูลนิธิเฮอริเทจ หน่วยงานคลังสมองแนวทางอนุรักษนิยมซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ยกตัวอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่กระตือรือร้นกระชับความร่วมมือกับคณะบริหารสหรัฐฯ
ทรัมป์ที่เคยเข้าร่วมการประชุมซัมมิตของพวกผู้นำอาเซียนเพียงครั้งเดียวในสมัยแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จากนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมอีกเลยแม้กระทั่งในการประชุมที่จัดแบบเสมือนจริงช่วงโควิดระบาด แต่คราวนี้เขากลับไม่ยอมพลาดเนื่องจากเล็งเห็นโอกาสในการเน้นย้ำความพยายามสร้างสันติภาพ ที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศของอเมริกาไปแล้ว
ฤดูร้อนที่ผ่านมา ทรัมป์ขู่ระงับข้อตกลงการค้าถ้าไทยและกัมพูชาไม่หยุดสู้รบ หลังจากนั้นมาเลเซียและอเมริการ่วมกันปกป้องข้อตกลงหยุดยิง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศแดนเสือเหลืองเผยว่า ทรัมป์อยากเห็นการลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาในซัมมิตอาเซียน
ฉง จาเอี้ยน ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เชื่อว่า ไทยและเขมรยินดีพูดคุยกันเพื่อเลี่ยงความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจ
จุดหมายปลายทางต่อไปคือญี่ปุ่น ต้นปีนี้วอชิงตันและโตเกียวบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งรวมถึงสัญญาจากฝั่งญี่ปุ่นว่า จะลงทุนในโครงการต่างๆ ในอเมริกามูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์
กรีนมองว่า ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นที่ชื่นชมแนวทางของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ซึ่งสนิทสนมกับทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งสมัยแรกนั้น มีศักยภาพในการทำให้ทรัมป์ยังคงปฏิบัติต่อญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรสำคัญต่อไป
แต่ไฮไลต์ของทริปนี้น่าจะอยู่ที่เกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่ทรัมป์บอกว่า จะนัดพบหารือกับสีที่นั่น
หลายสัปดาห์มานี้ ความสัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่งระอุหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจีนประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธ และทรัมป์ขู่เอาคืนด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีก 100%
รัช โดชี ที่ทำงานในส่วนนโยบายต่อจีนในคณะบริหารไบเดน คาดว่า ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากซัมมิตสี-ทรัมป์มี 3 อย่างคือ บรรลุข้อตกลง ไม่มีข้อตกลง และหายนะ
เขาสำทับว่า จีนฮึกเหิมหลังจากก่อนหน้านี้ทรัมป์ยอมระงับภาษีศุลกากรเมื่อปักกิ่งประกาศจำกัดการส่งออกแม่เหล็กที่มีส่วนผสมแรร์เอิร์ธ และรู้สึกว่า ยังใช้อาวุธนี้กดดันผู้นำสหรัฐฯ ได้
(ที่มา: เอพี, เอเอฟพี)