(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/10/ukraine-ceasefire-possible-astrump-and-putin-agree-to-meet-soon/)
Ukraine ceasefire possible as Trump and Putin agree to meet soon
by Stephen Bryen
17/10/2025
พวกเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์บอกว่า พวกเขาต้องการ “การหยุดยิงอะไรสักรูปแบบหนึ่ง” ขึ้นมาในยูเครน และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้ ถ้าหากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการกันจริงๆ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย พูดคุยโทรศัพท์กันเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ต.ค.) ที่ผ่านมา พวกเขาตกลงที่จะพบปะหารือแบบเจอะเจอตัวจริงกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้ บางทีอาจจะจัดขึ้นที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ทรัมป์พูดถึงการสนทนาทางโทรศัพท์ครั้งนี้ว่า “เกิดดอกผลเป็นที่น่าพอใจมาก” ผู้นำทั้งสองยังเห็นชอบจัดให้มีการพบปะหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย โดยน่าจะมีขึ้นในสัปดาห์ของวันที่ 20 ตุลาคม ทั้งนี้ ตามคำกล่าวของทรัมป์นั้น การพบปะเบื้องต้นนี้ทางสหรัฐฯจะนำโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ พร้อมด้วยบุคคลอื่นๆหลายหลาก ซึ่งจะมีการกำหนดนัดหมายกันต่อไป
ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเรียกร้องมาระยะหนึ่งแล้วให้มีการหยุดยิงในยูเครน และยุติสงครามในประเทศนั้น พวกเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์เผยว่า พวกเขาต้องการให้มี “การหยุดยิงอะไรสักรูปแบบหนึ่ง”
การเลือกใช้ภาษาในทีนี้ถือว่ามีความสำคัญ ที่ผ่านมาฝ่ายรัสเซียบอกว่าการจัดให้มีการหยุดยิงโดยที่ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ให้ชัดเจน ก็คือการยินยอมให้ยูเครนสะสมเพิ่มเติมอาวุธยุทธสัมภาระ และระดมเกณฑ์ทหารสำหรับเข้าสู่สมรภูมิให้มากขึ้น แน่นอนล่ะ เราสามารถพูดได้ว่าเรื่องทำนองเดียวกันนี้ก็จะเกิดขึ้นมาได้สำหรับฝ่ายรัสเซียด้วยเช่นกัน
ทว่าเงื่อนไขชนิดไหนกันล่ะที่จะสามารถดึงดูดใจ ปูติน และ ทรัมป์ ได้? ทรัมป์นั้นต้องการให้การสู้รบยุติลง นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด เพราะในเวลานี้มันไม่ใช่มีเพียงแค่กองทหารหน่วยต่างๆ ที่กำลังสู้รบกันอยู่ทางภาคพื้นดินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องพัวพันกับการเข้าโจมตีดินแดนส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปของแต่ละฝ่ายอีกด้วย
สำหรับฝ่ายรัสเซียมุ่งมั่นที่จะทำลายพวกโครงสร้างพื้นฐานสำคัญยิ่งยวดของยูเครน บวกด้วยเป้าหมายทางทหารบางส่วน ในทำนองเดียวกัน ยูเครนซึ่งกำลังอาศัยโดรนและระบบอาวุธอย่างเช่น ไฮมาร์ส (Himars ย่อมาจาก High Mobility Artillery Rocket System ระบบยิงจรวดหลายลำกล้องแบบเคลื่อนที่สูง ซึ่งติดตั้งอยู่บนรถบรรทุก สามารถยิงจรวดนำวิถีและขีปนาวุธได้หลายประเภท) ก็กำลังโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของรัสเซีย ทั้งพวกโรงกลั่นน้ำมัน, สิ่งปลูกสร้างทางด้านพลงงานไฟฟ้า, เส้นทางรถไฟ, และพวกเป้าหมายทางทหาร อยางเช่น สนามบิน และสถานที่ตั้งเรดาร์
เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ทั้งสองฝ่ายควรจะต้องยุติการโจมตีซึ่งกันและกันชนิดนี้ด้วย
ฝ่ายรัสเซียยังต้องการให้มีการผ่อนผันมาตรการแซงก์ชั่นลงมาบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการขนส่งน้ำมันและแก๊สตลอดจนเรื่องลูกค้า ทรัมป์นั้นเจาะจงเลือกภาคอุตสาหกรรมนี้เป็นเป้าหมายของการออกแรงบีบคั้นรัฐบาลรัสเซีย โดยเห็นว่าเศรษฐกิจของรัสเซียไม่สามารถที่จะแบกรับสงครามได้หากไม่สามารถทำรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ ทรัมป์อยู่ในฐานะที่จะยื่นข้อเสนอยกเลิกการแซงกั่นเหล่านี้บางส่วนหรือทั้งหมด (และดึงเอายุโรปเข้ามาอยู่ในสมการ) เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่การสู้รบจะต้องหยุดยั้งลง
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้นำทั้งสองได้เจรจาหารือกันเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันเมื่อสงครามยุติลง
ความคืบหน้าของรัสเซียในสงครามคราวนี้ มีแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สาเหตุสำคัญต้องชมเชยการที่ยูเครนสามารถใช้โดรนเป็นอาวุธได้อย่างเข้มแข็ง ตลอดจนความสามารถในการต่อต้านของยูเครน ทุกวันนี้รัสเซียควบคุมพื้นที่ราวๆ 95% ของแคว้นลูฮันสก์ (Luhansk), 70%ของแคว้นโดเนตสก์ (Donetsk), และพื้นที่หลายๆ ส่วนของแคว้นซาโปริเซีย (Zaporizhzhia) และของแคว้นเคียร์ซอน (Kherson) ขณะเดียวกัน รัสเซียมีอำนาจควบคุมอย่างเต็มที่เหนือคาบสมุทรไครเมีย (Crimea) และเป็นไปได้สูงมากที่ข้อเรียกร้องของฝ่ายรัสเซียอย่างน้อยที่สุดคือให้มีการยอมรับในบางรูปลักษณ์เกี่ยวกับการครอบครองดินแดนเหล่านี้ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไครเมีย
มีหนทางออกที่อาจเป็นไปได้จำนวนมากทีเดียว ซึ่งสามารถคลี่คลายการสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างยูเครนกับรัสเซีย
อย่างที่ผมได้เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อนหน้านี้ พื้นที่ซึ่งถูกรัสเซียประกาศผนวกเป็นส่วนหนึ่งของแดนหมีขาวไปแล้วนั้น สามารถนำเอาบางส่วนหรือกระทั่งทั้งหมด มาเปลี่ยนแปลงสิทธิเสียใหม่ให้กลายเป็นการการถือครองด้วยการเช่าระยะยาว อะไรทำนองเดียวกับสถานะการถือครองกรรมสิทธิ์เหนือฮ่องกงของสหราชอาณาจักร ซึ่งเช่าระยะยาวจากจีนเป็นเวลา 99 ปี (จนกระทั่งสหราชอาณาจักรยอมแพ้ด้วยเหตุผลต่างๆ เชิงพาณิชย์ และถอนตัวออกไปก่อนหมดสัญญาเช่า) [1] หนทางแก้ไขตามแนวทางเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางสร้างรายได้เข้าสู่ยูเครน ระหว่างระยะเวลาเวลาดังกล่าว (ในรูปของค่าเช่าดินแดน, ภาษีศุลกากร, ฯลฯ) รวมทั้งเปิดทางให้พวกนักการเมืองชาวยูเครนสามารถป่าวร้องได้ว่า พวกเขาไม่ได้ “ยอมจำนน” สละดินแดนใดๆ ให้แก่รัสเซีย
ในพื้นที่สมรภูมิภาคพื้นดิน กองกำลังที่เป็นปรปักษ์กันจำเป็นที่จะต้องอยู่แยกห่างออกจากกันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดการตกลงหยุดยิง ตรงนี้มีปัญหาที่จำเป็นจะต้องหาทางแก้ไขกัน สืบเนื่องจากการจัดวางตำแหน่งที่ตั้งของกองกำลังของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ถ้าหากพวกเขาสามารถหารือทำความตกลงกันได้
การปรากฏตัวของนาโต้นั้น สำหรับมอสโกแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดอุปสรรคอย่างหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่ตัวสงครามเองนั้นมีลักษณะสู้รบช่วงชิงดินแดนกันก็จริง แต่การที่นาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ด้วยอย่างล้ำลึก ทั้งในรูปของการจัดหาจัดส่งอาวุธยุทธสัมภาระ, การรวบรวมและจัดส่งข่าวกรองให้ยูเครน, การส่งพวกที่ปรึกษาและพวกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเข้าไปช่วยยูเครน, และการอนุมัติยุทธศาสตร์ทางทหาร เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้รัสเซียวิตกกังวล รวมทั้งยังคงถือปฏิบัติต่อนาโต้ในฐานะที่เป็นกองกำลังฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งกองกำลังหนึ่ง แม้กระทั่งก่อนหน้าสงครามที่เกี่ยวข้องกับกองทหารรัสเซียซึ่งรุกรานเข้าสู่ยูเครนจะระเบิดขึ้นมา ทั้งรัสเซียและนาโต้ต่างก็กำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับที่จะสู้รบกันอยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าฝ่ายรัสเซียมีการประมาณการเกี่ยวกับสมรรถนะของนาโต้สูงเกินความเป็นจริงไปสักหน่อย ทว่าจุดสำคัญยังคงอยู่ที่ว่าพวกเขายืนหยัดอย่างหนักแน่นเรื่อยมา ในจุดที่พวกเขามองนาโต้ว่าเป็นภัยคุกคามพวกเขาทางด้านปีกที่อ่อนไหวที่สุดของพวกเขา เรื่องนี้จะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร --ถ้าหากยังมีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้?
พิจารณาจากทัศนะมุมมองทางการทหารและในด้านการป้องกันอย่างบริสุทธิแท้จริงแล้ว แม้กระทั่งในกรณีที่นาโต้เข้าไปร่วมสู้รบอยู่ในยูเครน มันก็ยังไม่ได้มีฐานทัพของนาโต้ใดๆ อยู่ในยูเครนเลย ทว่าในอีกด้านหนึ่ง มันก็ยังไม่มีการตกลงอะไรกันใดๆที่จะยืนยันรับรองว่ามันจะยังคงไม่มีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ สิ่งที่มีผลกระทบอย่างมหาศาลยิ่งก็คือความใกล้ชิดติดกับชายแดนของรัสเซีย และเมืองใหญ่เมืองน้อยซึ่งสำคัญที่สุดหลายๆ แห่งของแดนหมีขาว ตลอดจนพวกฐานทัพทางยุทธศาสตร์ของพวกเขา
รัสเซียนั้นยังมีฐานทัพจำนวนมากพอดูทีเดียว ซึ่งเปิดโล่งให้แก่ความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีจาก ยูเครน/นาโต้ อีกด้วย
เมืองใหญ่น้อยและฐานทัพเหล่านี้ได้แก่:
**เขตทหารภาคใต้กองทัพบกรัสเซีย (Russian Army Southern Military District) ซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองรอสตอฟ-ออน-ดอน (Rostov-on-Don)
**แคว้นรอฟตอฟ และคูร์สก์ (Rostov and Kursk Oblasts) สองแคว้นนี้คือพื้นที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย โดยมีกองกำลังประจำอยู่ทั้งที่นี่ และข้ามชายแดนเข้าไปในยูเครน
**พวกเขตชายแดน กองกำลังรัสเซียรวมศูนย์กันอยู่ตามแนวชายแดนติดต่อกับยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ต่างๆ ของแคว้นเบลโกรอด (Belgorod) และแคว้นโวโรเนจ (Voronezh) เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติการ
**ฐานทัพอากาศ รัสเซียมีฐานทัพอากาศหลายแห่งอยู่ใกล้ๆ ยูเครน รวมทั้งพวกที่อยู่ในเบลโกรอด และมิลเลโรโว (Millerovo) ซึ่งใช้สำหรับการเปิดการโจมตีทางอากาศและภารกิจตรวจการณ์สอดแนม
**ฐานทัพเรือ นอกเหนือจากฐานทัพเรือใหญ่ริมทะเลดำที่เมืองเซวาสโตโปล (Sevastopol) แล้ว รัสเซียยังมีฐานทัพเรือหลายแห่งอยู่ในเขตทะเลดำและทะเลอาซอฟ (Sea of Azov)
**ศูนย์ฝึกอบรมและศูนย์ส่งกำลังบำรุง รัสเซียใช้พวกสถานที่ฝึกอบรมและพวกศูนย์ส่งกำลังบำรุงในพื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายดนของตน ในการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในยูเครน
ฝ่ายรัสเซียยังไม่ลืมว่า นาโต้ได้ช่วยเหลือแผนการยกทัพบุกโจมตีเข้าไปในแคว้นคูร์สก์ของทางกองทัพยูเครน อันเป็นการโจมตีที่ฝ่ายรัสเซียไม่ได้เคยคาดหมายมาก่อน
เนื่องจากฐานทัพและศูนย์ปฏิบัติการและบังคับบัญชาสั่งการทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนแต่ตั้งอยู่ในดินแดนของรัสเซีย จึงเป็นที่เข้าใจได้สำหรับการที่รัสเซียมีความวิตกกังวลกับเรื่องความสามารถในการใช้พวกอาวุธของนาโต้มาเล่นงานโจมตีตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกรณีความหายนะราคาแพงที่คูร์สก์ เราสามารถกล่าวต่อไปได้ว่า พวกเมืองใหญ่ๆ ทรงความสำคัญที่สุดของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็น มอสโก หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็ล้วนแต่อยู่ในพิสัยทำการของพวกอาวุธที่นาโต้เป็นผู้จัดหาจัดส่งให้ยูเครนทั้งนั้น
หนทางแก้ไขประการหนึ่งได้แก่ การรื้อฟื้นแนวความคิดที่ทำให้เกิดสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate Range Nuclear Forces Treaty หรือ INF) ซึ่งปัจจุบันถูกยกเลิกไม่มีการบังคับใช้อีกต่อไปแล้ว ในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวนี้ สหรัฐฯกับรัสเซียได้ตกลงกันที่จะถอนและทำลายอาวุธบางชนิดที่เป็นขีปนาวุธพิสัยกลาง (เอสเอส20 SS20 ของฝ่ายรัสเซีย และ เพอร์ชิง 2 Pershing II ของฝ่ายสหรัฐฯ)
ข้อตกลงทำนองเดียวกันนี้สามารถตกลงจัดทำกันขึ้นมาใหม่ โดยให้ครอบคลุมทั้งเรื่องการนำเอาเข้ามา ตลอดจนสถานที่ตั้ง ของระบบอาวุธที่มีพิสัยทำการค่อนข้างไกลต่างๆ โดยรวมไปถึง ระบบยิงจรวดแบบเคลื่อนที่สูง ไฮมาร์ส (ที่ติดตั้งขีปนาวุธ อะแทคคัมส์ ATACMS) และขีปนาวุธร่อน โทมาฮอว์ก (Tomahawk) ตลอดจนขีปนาวุธพิสัยไกลอย่างอื่นๆ และพวกโดรนขนาดหนักทั้งหลาย ขณะที่ฝ่ายรัสเซียก็จะต้องถอนพวกขีปนาวุธ อิสคานเดอร์ (Iskander) (รุ่น K และรุ่น M), คินซาล (Kinzhal), คาลิบร์ (Kalibr), Kh-101, และ เซอร์คอน (Tsirkon หรือ Zircon) โดยเป็นไปได้ว่าน่าจะรวมถึง โอเรชนิก (Oreshnik) ระบบอื่นๆ ที่อยู่ในข่าย ยังมี สตอร์ม แชโดว์ Storm Shadow (ของสหราชอาณาจักร) และ เนปจูน Neptune (ของยูเครน)
หากมีการทำข้อตกลงแบบครอบคลุมรอบด้านกันจริงๆ ก็จะต้องรวมเอาพวกโดรนที่สามารถทำการโจมตีพิสัยไกลๆ ได้ อย่างของยูเครน คือ ลูที (Liutyi), FP-1, บีเวอร์ (Beaver), และ UJ-25 และของรัสเซีย ได้แก่ โกรัน-2 (Geran-2), โอไรออน (Orion) และ อีโนโคเดซ (Inokhodets)
สิ่งที่ควรติดตามมาเพื่อลดทอนพวกรายชื่ออาวุธโจมตีเหล่านี้ให้มีจำนวนน้อยลง ก็คือการสร้างเขตกันชนที่เหมาะสมขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นการเสนอไอเดียเบื้องต้นต่างๆ เกี่ยวกับส่วนประกอบของข้อตกลงหยุดยิงบางรูปแบบซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นที่ยอมรับของมอสโกและวอชิงตัน ทั้งนี้ยูเครนก็จะต้องตกลงเห็นชอบด้วย เช่นเดียวกับพวกรัฐแนวหน้าทางยุโรป (ตัวอย่างเช่น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, และโปแลนด์) ทรัมป์จำเป็นที่จะต้องเสนอขายแพกเกจนี้แก่บรรดาเพลเยอร์เหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่โตที่จะต้องฝ่าข้ามก่อนจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จใดๆ ออกมาได้
แต่ข้อตกลงหยุดยิงในบางรูปแบบนั้นสามารถที่จะบรรลุได้แน่ๆ ถ้าหากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการกันอย่างจริงจัง
สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
หมายเหตุผู้แปล
[1] เรื่องกรรมสิทธิ์เหนือฮ่องกงของสหราชอาณาจักรนั้น ในความเป็นจริงมีความสลับซับซ้อนพอสมควร กล่าวคือ สหราชอาณาจักรได้เกาะฮ่องกงเป็นอาณานิคมในปี 1841 ภายหลังจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 จากนั้นในปี 1860 สหราชอาณาจักรได้ขยายอาณานิคมนี้ออกไปให้รวมถึงแหลมเกาลูน (Kowloon) และในปี 1898 ก็มีการขยายอีกครั้งโดยรวม นิว เทอร์รทอรีส์ (New Territories) เข้ามา แต่เฉพาะดินแดนหลังสุดนี้สหราชอาณาจักรทำข้อตกลงกับจีนในรูปของการเช่าเป็นระยะเวลา 99 ปี
ถึงแม้ราชวงศ์ชิงที่ปกครองจีนเวลานั้น ได้ยอมสละเกาะฮ่องกงและเกาลูน ให้แก่สหราชอาณาจักรไปตลอดกาลในรูปของการทำสนธิสัญญากัน ทว่าดินแดนนิวเทอร์ริทอรีส์ ซึ่งอยู่ในรูปของการทำสัญญาเช่านั้น มีพื้นที่คิดเป็น 86.2% ของอาณานิคมแห่งนี้ รวมทั้งมีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดของอาณานิคมนี้ เมื่ออายุของสัญญาเช่านิวเทอร์ริทอรีส์ใกล้หมดลงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ 20 สหราชอาณาจักรก็ไม่เห็นว่ามีหนทางเป็นไปได้ใดๆ ที่จะปกครองอาณานิคมแห่งนี้ต่อไปด้วยการแยกเฉพาะเกาะฮ่องกงกับเกาลูนออกมา ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนก็จะไม่พิจารณาขยายระยะเวลาเช่า หรือยินยอมให้สหราชอาณาจักรปกครองต่อไปหลังหมดอายุสัญญาเช่านิวเทอร์ริทอรีส์ ดังนั้นรัฐบาลสหราชอาณาจักรจึงตกลงยินยอมส่งคืนดินแดนทั้งหมดให้แก่จีนเมื่อสัญญาเช่านิวเทอร์ริทอรีส์หมดอายุลงในปี 1997 และฮ่องกงจึงเปลี่ยนฐานะมาเป็นเขตบริหารพิเศษ (special administrative region หรือ SAR) ของจีนตั้งแต่ปี 1997