(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/10/china-us-clash-in-global-shipping-after-chip-and-tariff-wars/)
China, US clash in global shipping after chip and tariff wars
by Jeff Pao
15/10/2025
ปักกิ่งประกาศเก็บค่าธรรมเนียมและใช้มาตรการแซงก์ชั่นครั้งใหม่ ในการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน กับการที่วอชิงตันเล่นงานอุตสาหกรรมต่อเรือจีนและการเดินเรือทะเลของจีน เพิ่มความเขม็งเกลียวให้แก่ความตึงเครียดทางการค้าและทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯกับจีน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจีนเผยโฉมมาตรการตอบโต้เอาคืน การเริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมอัตราพิเศษของสหรัฐฯจากบรรดาเรือสินค้าแดนมังกรที่เข้าเทียบท่าเรือในอเมริกา ถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายที่กำลังเพิ่มทวีขึ้น ก่อนหน้ากำหนดการเจรจาหารือแบบเจอะเจอหน้ากันระหว่างประธานาธิบดีของประเทศทั้งสอง ถึงแม้การพบปะดังกล่าวยังมีโอกาสอยู่มากที่จะเกิดขึ้นมาได้ ในระหว่างการประชุมซัมมิตของกลุ่มเอเปกที่กรุงโซล, เกาหลีใต้ ณ วันสุดท้ายของเดือนตุลาคมนี้
กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวันอังคาร (14 ต.ค.) ที่ผ่านมาว่า กำลังเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการเข้าใช้ท่าเรือจีนในอัตรา 400 หยวน (56 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อน้ำหนักตันสุทธิ (per net ton) จากเรือสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหลายซึ่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยกับสหรัฐฯ คำแถลงนี้ย้ำด้วยว่า อัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวนี้ซึ่งถือเป็นอัตราประกาศเบื้องต้น จะมีการเพิ่มขึ้นเป็นรายปีจนกระทั่งไปถึง 1,120 หยวนภายในวันที่ 17 เมษายน 2028
ไม่เพียงเท่านั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังประกาศมาตรการแซงก์ชั่น [1] กิจการ 5 แห่งในเครือของ ฮันหวาโอเชียน (Hanwha Ocean) แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยกับสหรัฐฯ กิจการเหล่านี้ ได้แก่ ฮันหวาชิปปิ้งแอลแอลซี (Hanwha Shipping LLC), ฮันหวาฟิลลีชิปยาร์ดอิงค์ (Hanwha Philly Shipyard Inc), ฮันหวาโอเชียนยูเอสเออินเตอร์เนชั่นแนลแอลแอลซี (Hanwha Ocean USA International LLC), ฮันหวาชิปปิ้งโฮลดิ้งส์แอลแอลซี (Hanwha Shipping Holdings LLC), และ เอชเอสยูเอสเอโฮลดิ้งส์ (HS USA Holdings Corp)
กระทรวงพาณิชย์แดนมังกรกล่าวหาว่า บริษัทเหล่านี้กำลังช่วยเหลือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (US Trade Representative หรือ USTR) ดำเนินการสอบสวนซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคการเดินเรือทะเลและการต่อเรือของประเทศจีน ดังนั้นจึงเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่อำนาจอธิปไตยของจีนและผลประโยชน์ทางด้านการพัฒนาของจีน ทั้งนี้การแซงก์ชั่นอยู่ในรูปของการห้ามทางองค์การตลอดจนตัวบุคคลชาวจีนทำธุรกรรมหรือร่วมมือกับกิจการเหล่านี้
“เราจะสู้รบถ้าหากเราจำเป็นต้องสู้รบ ประตูของเรานั้นเปิดกว้างถ้าหากสหรัฐฯต้องการพูดจากัน” โฆษกที่ไม่มีการระบุชื่อของกระทรวงพาณิชย์จีนระบุในคำแถลง [2] เมื่อวันอังคาร (15 ต.ค.)
“ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างกว้างขวาง และมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันได้อย่างมากมาย การร่วมมือกันให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ขณะที่การเผชิญหน้ากันสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย” เขากล่าว “การปรึกษาหารือกันทางเศรษฐกิจและการค้า 4 รอบที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจีนกับสหรัฐฯ สามารถที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ โดยผ่านความเคารพซึ่งกันและกันและการปรึกษาหารือกันอย่างเท่าเทียม”
โฆษกผู้นี้ย้ำว่า “มันไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับจีน โดยในขณะที่สหรัฐฯแสวงหาทางเจรจากับจีน แต่เวลาเดียวกันนั้นเองก็กำลังข่มขู่และกรรโชก ด้วยการออกข้อจำกัดกีดกันใหม่ๆ”
“จีนเรียกร้องสหรัฐฯให้แก้ไขความผิดพลาดของตน แสดงให้เห็นความจริงใจเพื่อจะได้พูดจากัน และพบกับจีนครึ่งทาง - โดยชี้นำด้วยฉันทามติที่สำคัญต่างๆ ที่ประมุขแห่งรัฐของประเทศทั้งสองได้ทำความตกลงกันได้ไว้ ระหว่างการพูดจาคุยทางโทรศัพท์เพื่อปกป้องบรรดาผลลัพธ์ที่เอาชนะมาได้ด้วยความลำบาก จากการปรึกษาหารือกัน” เขาบอก
โฆษกผู้นี้ยังเน้นย้ำว่า จีนได้บรรยายสรุปให้สหรัฐฯทราบเรียบร้อยแล้วผ่านทางกลไกการสนทนาควบคุมการส่งออกทวิภาคี ก่อนที่จะประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกครั้งใหม่ของตนในเรื่องแรร์เอิร์ธ
“ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯได้ขยายความคิดเห็นของตนในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติจนกระทั่งสุดเหยียดเกินเลยไปมากมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งกลายเป็นมาตรการควบคุมการส่งออกที่มิชอบ รวมทั้งมีการประกาศมาตรการแบ่งแยกกีดกันเพื่อมุ่งเล่นงานจีน ทั้งนี้ ตั้งแต่การพูดจาทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ (รอบที่ 4) ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน (ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2025) สหรัฐฯก็ได้ออกมาตรการจำกัดกีดกันที่มุ่งเล่นงานจีนฉบับใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์ของจีนอย่างร้ายแรง รวมทั้งบ่อนทำลายบรรยากาศของการปรึกษาหารือกันทางเศรษฐกิจทวิภาคี จีนจึงขอคัดค้านเรื่องนี้อย่างหนักแน่น”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 กันยายน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯได้เพิ่มชื่อกิจการต่างๆ อีก 32 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกิจการจีน 23 แห่ง เข้าไปในบัญชีดำ Entity List ของตน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯกล่าวหากิจการเหล่านี้ว่ากำลังครอบครอง หรือกำลังพยายามหาทางครอบครองข้าวของต่างๆ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากสหรัฐฯ เพื่อนำไปใช้สนับสนุนจีนในกระบวนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย
ต่อมาในวันที่ 13 กันยายน กระทรวงพาณิชย์จีนออกมาประกาศว่า จะริเริ่มการสอบสวนอย่างเต็มขั้นต่อข้อร้องเรียนซึ่งกล่าวหาพวกผู้ผลิตชิปชาวอเมริกันว่า กำลังส่งผลิตภัณฑ์เข้ามาทุ่มตลาดจีน นอกจากนั้น ในความเคลื่อนไหวที่แยกออกไปต่างหากอีกทางหนึ่ง สำนักงานบริหารแห่งรัฐว่าด้วยกฎระเบียบตลาด (State Administration for Market Regulation หรือ SAMR) ของจีน ก็ได้เปิดดำเนินการตรวจสอบไปอีกขั้นหนึ่ง เกี่ยวกับกรณีที่ อินวิเดีย (Nvidia) ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
สมรภูมิใหม่
ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐฯได้เพิ่มพูนขึ้นช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากจีนประกาศเพิ่มความเข้มงวดมาตรการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธตลอดจนพวกเทคโนโลยีการแปรรูปที่เกี่ยวข้องกันเมื่อวันที่ 9 และ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เรื่องนี้ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ถึงกับรีบออกมาข่มขู่ที่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราเพิ่มขึ้นอีก 100% จากสินค้าจีนซึ่งนำเข้าไปยังสหรัฐฯตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรัมป์ถึงกับเอ่ยปากว่าเขาอาจจะไม่ประชุมหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระหว่างการประชุมซัมมิตกลุ่มเอเปกที่เกาหลีใต้ในช่วงสิ้นเดือนนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ของสหรัฐฯ กล่าวในวันจันทร์ (13 ต.ค.) ว่า เขาคาดหมายว่าจะได้เห็นการประชุมหารือระหว่าง สี-ทรัมป์ เกิดขึ้นมา หลังจากนั้นตัวทรัมป์เองก็พูดหลายครั้งว่ายังจะเจรจาหารือกับสีตามกำหนดเดิม
เวลาเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังได้ขยายไปยังภาคอุตสาหกรรมการต่อเรืออีกด้วย
อันที่จริง การต่อสู้นี้เริ่มขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว โดยในเดือนเมษายนปีนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งอ้างอิงผลการสอบสวนของตนตามอำนาจมาตรา 301 (Section 301) ของรัฐบัญญัติการค้าของสหรัฐฯ ได้กล่าวหา [3] พวกกิจการต่อเรือและพวกผู้ดำเนินการด้านการเดินเรือทะเลของจีนว่า กำลังใช้การปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้น USTR แถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมเป็นต้นไป จะบังคับใช้มาตรการดังต่อไปนี้:
**เก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 50 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิ จากเรือใดๆ ก็ตามที่จีนเป็นเจ้าของหรือที่จีนเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งเข้าจอดเทียบท่าเรือของสหรัฐฯ (อัตรานี้จะเพิ่มขึ้นทุกปี จนกระทั่งถึงระดับ 140 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิภายในเดือนเมษายน 2028)
**เก็บค่าธรรมเนียม 18 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิ หรือ 120 ดอลลาร์ต่อตู้คอนเทนเนอร์ สำหรับเรือใดๆ ก็ตามที่จีนเป็นผู้ต่อแต่มีต่างชาติเป็นเจ้าของ ซึ่งเข้าจอดเทียบท่าเรือของสหรัฐฯ (อัตรานี้จะเพิ่มขึ้นทุกปี จนกระทั่งถึงระดับ 140 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิ หรือ 250 ดอลลาร์ต่อตู้คอนเทนเนอร์ภายในเดือนเมษายน 2028) สำหรับพวกเรือเปล่ายังไม่ได้บรรทุกสินค้า, เรือที่สหรัฐฯเป็นเจ้าของบางชนิด, เรือที่เข้าเทียบท่าสหรัฐฯจากการเดินทางที่มีระยะทางน้อยกว่า 2,000 ไมล์ทะเล, ตลอดจนเรือพิเศษเฉพาะบางอย่างบางชนิดสามารถที่จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมนี้
**เก็บค่าธรรมเนียมอัตรา 14 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิ หรือ 150 ดอลลาร์ต่อ 1 Car Equivalent Unit (CEU) สำหรับเรือขนส่งรถยนต์ใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้ต่อโดยสหรัฐฯ ซึ่งเข้าเทียบท่าสหรัฐฯ (1 CEU คำนวณหยาบๆ คือพื้นที่สำหรับรถยนต์นั่งมาตรฐาน 1 คัน)
สำนักงาน USTR ย้ำว่าค่าธรรมเนียมนี้จะเรียกเก็บจากแต่ละครั้งของการเข้าเทียบท่าเรือสหรัฐฯในลักษณะหมุนเวียนหรือในลักษณะเข้าเทียบหลายๆ ท่าต่อเนื่องไป และเรือแต่ละลำจะไม่ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินกว่าปีละ 5 ครั้ง
ในวันที่ 10 ตุลาคม USTR ได้แก้ไข [4] ราคาพื้นฐานสำหรับการคำนวณค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บจากพวกผู้ดำเนินการของยานขนส่งรถยนต์ซึ่งไม่ได้ต่อในสหรัฐฯ โดยกำหนดใหม่ให้อยู่ในอัตรา 46 ดอลลาร์ต่อตันสุทธิ
ค่าธรรมเนียมที่ประกาศออกมาเหล่านี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (14 ต.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าเรือสินค้าที่ขนสินค้าแบบเทกอง (bulk carrier) เป็นปริมาณ 50,000ตันสุทธิแต่ละลำ จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 2.5 ล้านดอลลาร์สำหรับการเข้าเทียบท่าสหรัฐฯเพียงท่าเดียว ขณะเดียวกัน เรือสินค้าขนาดใหญ่อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมสูงถึง 8.5 ล้านดอลลาร์ในแต่ละครั้งที่เขาจอดเทียบท่าในสหรัฐฯ
“นโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเดินเรือโดยใช้อำนาจตามมาตรา 301 เช่นนี้ คือการพัดถล่มอย่างแรงใส่รากฐานแท้ๆ ของการพาณิชย์ระดับโลกของจีน และเป็นการตีกระหน่ำใส่ผลประโยชน์แกนกลางของประเทศชาติ” คอลัมนิสต์ที่ตั้งฐานอยู่ในมณฑลหูเป่ยผู้หนึ่งที่ใช้นามปากกาว่า “Laoheikan” เขียน [5] เช่นนี้ในข้อเขียนซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม “ผลกระทบของนโนบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่จีน แต่ไปถึงหมดทุกๆ ประเทศ”
“ภายหลังความตกต่ำเสื่อมโทรมของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ ทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและพวกอุตสาหกรรมการต่อเรือของสหรัฐฯก็จมถลำลงสู่ภาวะชะงักงันไปด้วย” ข้อเขียนของคอลัมนิสต์ผู้นี้ชี้ “ตอนนี้ทรัมป์ต้องการชุบชีวิตพวกมันโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again หรือ MAGA) ของเขา แต่เขาจะทำไม่สำเร็จหรอก และเขาจะเป็นคนทำให้เกิดความสะดุดติดขัดขึ้นมา”
“พิจารณาจากการที่สหรัฐฯกำลังตกต่ำเสื่อมทรุดลงเรื่อยๆ มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับวอชิงตันที่จะบรรลุเป้าหมายในการปิดล้อมการค้าและการเดินเรือของจีนในระดับทั่วโลก” เขากล่าว “หากจีนมีความกล้าที่จะต่อสู้ จีนก็จะสามารถยังความพ่ายแพ้ให้แก่แผนการของอเมริกา”
เขาบอกว่า การต่อเรือและการค้าทางทะเลสามารถที่จะกลายเป็นสมรภูมิแห่งใหม่และแนวทางทางยุทธศาสตร์ใหม่ของวอชิงตันในการแข่งแข่งแบบเป็นปรปักษ์กับปักกิ่ง
“หมัดพิฆาต” ของปักกิ่ง
ในวันที่ 10 ตุลาคม กระทรวงคมนาคมของจีนแถลงว่า จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการใช้ท่าเรือในอัตรา 400 หยวนต่อตันสุทธิจากบรรดาเรือสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ที่มีความเกี่ยวข้องโยงใยกับสหรัฐฯ โดยที่ทางกระทรวงให้คำนิยามจำกัดความ [6] เรือที่จะถูกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษเอาไว้ ดังนี้:
**เรือทีมีวิสาหกิจ, องค์การ, หรือปัจเจกบุคคลสหรัฐฯ เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ดำเนินการ
**เรือที่มีวิสาหกิจหรือองค์การเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่วิสาหกิจและองค์การเหล่านี้ มีวิสาหกิจ, องค์การ, หรือปัจเจกบุคคลสหรัฐฯ ถือครองความเป็นเจ้าของโดยตรงหรือโดยอ้อม (รวมไปถึงสิทธิในการออกเสียง หรือที่นั่งในบอร์ดบริหาร) อยู่ในสัดส่วน 25% ขึ้นไป
**เรือที่ชักธงสหรัฐฯ
**เรือที่ต่อในสหรัฐฯ
คำแถลงนี้ระบุอีกว่า ถ้าเรือเหล่านี้ต่อในจีนหรือเข้ามาแบบเรือเปล่า ผู้ดำเนินการของเรือเหล่านี้สามารถได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใหม่นี้
คอลัมนิสต์แซ่เฉินซึ่งตั้งฐานอยู่ในมณฑลกวางตุ้งผู้หนึ่ง เสนอความเห็น [7] ว่า เรือสินค้าคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯอาจจะต้องจ่ายค่าธรรมเสียง 5.5 ล้านดอลลาร์ ถึง 15 ล้านดอลลาร์ทีเดียวในแต่ละครั้งที่เข้าเทียบท่าในท่าเรือจีน
“ข้อความที่ระบุว่าเรือซึ่งสหรัฐฯครอบครองความเป็นเจ้าของตั้งแต่ 25% ขึ้นไป ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษนี้ คือ “หมัดพิฆาต” เอากันให้ตายอย่างแท้จริง มันเป็นการขยายผลกระทบให้กว้างขวางออกไปจนถึงระดับทั่วโลก” เขาบอก “เพื่อหลบเลี่ยงการถูกเก็บค่าธรรมเนียม กิจการบางแห่งอาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อกิจการที่อยู่นอกสหรัฐฯ, เปลี่ยนธงชาติที่ชักบนเรือ, หรือใช้เรือมือสองเพื่อ “ชำระล้าง” ความผูกพันกับสหรัฐฯของพวกเขา โดยที่เรื่องนี้จะทำให้ต้นทุนด้านลอจิสติกส์เพิ่มสูงขึ้นและลดทอนประสิทธิภาพทางการค้า”
เชิงอรรถ
[1]https://www.mofcom.gov.cn/zwgk/zcfb/art/2025/art_001308ff9a6a474a997c644961c9b997.html
[2]http://big5.www.gov.cn/gate/big5/www.gov.cn/zhengce/202510/content_7044237.htm
[3] https://www.ukdefence.com/knowledge/news/april-2025-ustr-publishes-notice-imposing-fees-on-us-port-calls-for-certain-non-us-built-ships/
[4] https://ustr.gov/about/policy-offices/press-office/press-releases/2025/october/ustr-modifies-certain-aspects-section-301-ships-action-and-proposes-further-modifications-action
[5] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1845322228937774492&wfr=spider&for=pc
[6] https://www.stdaily.com/web/gdxw/2025-10/10/content_413149.html
[7]https://baijiahao.baidu.com/s?id=1845594270847229101&wfr=spider&for=pc