เอสแอด์พี โกลบอล ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของฝรั่งเศส จาก AA- และ A+ เตือนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางการเมือง เสี่ยงกัดเซาะศักยภาพของรัฐบาลในการปรับลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณ
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พี คาดหมายว่าหนี้ของฝรั่งเศสจะแตะระดับ 121% ของจีดีพี ในปี 2028 จากระดับ 112% ของจีพีดีในช่วงสิ้นปีที่แล้ว ประเทศแห่งนี้ประสบปัญหาในการควบคุมการใช้จ่าย เช่นเดียวกับจัดการกับความปั่นป่วนทางการเมือง โดยเมื่อเร็วๆนี้นายกรัฐมนตรีซบาสเตียง เลอกอร์นู รอดพ้นจากการโหวตไม่ไว้วางใจในรัฐสภา 2 รอบ หลังตัดสินใจระงับแพ็คเกจปฏิรูปเบี้ยบำนาญอันเป็นที่ถกเถียง
ทางเอสแอนด์พี เตือนว่าความไม่แน่นอนที่ล้อมรอบการคลังสาธารณะของฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2027 สถาบันแห่งนี้อ้างว่าการตัดสินใจของรัฐบาลในการระงับร่างกฎหมายปฏิรูปเบี้บบำนาญปี 2023 เป็นสัญญาณความเปราะบางทางการเมือง นอกจากนี้แล้วยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของฝรั่งเศสจะเติบโต 0.7% ในปี 2025 และฟื้นตัวแค่เล็กน้อยในปี 2026 เอสแอนด์พีบอกว่าความเสี่ยงต่างๆต่อแนวโน้มยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลุกลามสู่สถานการณ์ทางการเงินในวงกว้างของเศรษฐกิจ
ในปฏิกริยาต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทางรัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส บอกว่าเวลานี้ "มันเป็นความรับผิดชอบร่วมของรัฐบาลและรัฐสภา" ในการผ่านงบประมาณในช่วงปลายปี เพื่อรับประกันว่าตัวเลขขาดดุลงบประมาณจะอยู่บนเส้นทางของเพดานอียู 3% ของจีดีพี
ทางเอสแอนด์พีคาดว่าฝรั่งเศส น่าจะทำไปตามเป้าหมายขาดดุลงบประมาณ 5.4% ของจีดีพีในปี 2025 แต่เตือนว่า "มันยังขาดแคลนมาตรการลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณอีกมาก และอัตราความมั่นคงยังคงล่าช้ากว่าที่คาดหมายก่อนหน้านี้" พร้อมระบุว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของฝรั่งเศส และอุปสรรคต่างๆนานาในความพยายามปฏิรูป อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของพวกเขาในอนาคต
ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบเห็นสัญญาณในปัญหาความน่าเชื่อถือทางเครดิตของฝรั่งเศส ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี เอสแอนด์พี ก็เคยปรับลดแนวโน้มของประเทศ จาก "เสถียรภาพ" สู่ "เป็นลบ" สืบเนื่องจากความอ่อนแอทางการเงิน เมื่อเดือนที่แล้ว ฟลิตช์ เรตติ้ง ก็ปรับลดความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศส ลงจาก AA- สู่ A+ อ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินและขาดโร้ดแมปทางการคลังที่น่าเชื่อถือ การปรับลดดังกล่าวอาจเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมแก่ฝรั่งเศสและอาจกระตุ้นให้เกิดการเทขายพันธบัตรโดยนักลงทุนสถาบัน เพื่อลดการถือครองหนี้สาธารณะที่มีความน่าเชื่อถือสูง
(ที่มา:อาร์ทีนิวส์)