xs
xsm
sm
md
lg

มาตรการคุมเข้มแรร์เอิร์ธของจีน อาจส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานของโลก แตกแยกออกเป็น 2 ระบบในที่สุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อลิเซีย การ์เซีย เฮอร์เรโร


(ภาพจากแฟ้ม) ตัวอย่างของสารประกอบแรร์เอิร์ธหลายชนิด ซึ่งถูกนำมาตั้งแสดงอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/10/chinas-rare-earths-squeeze-leaves-us-dangerously-exposed/)

China’s rare earths squeeze leaves US dangerously exposed
by Alicia Garcia Herrero
13/10/2025

ตั้งแต่พวกชิปเอไอ ไปจนถึงเครื่องบินขับไล่ล้ำยุค มาตรการคุมเข้มแรร์เอิร์ธที่จีนเพิ่งประกาศใช้ สามารถตีกระหน่ำใส่หัวใจของอุตสาหกรรมสหรัฐฯและห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯได้อย่างถนัดถนี่

ความเขม็งเกลียวทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กำลังเพิ่มความดุเดือดเข้มข้นขึ้นในระยะหลังๆ นี้ โดยมีหลักหมายที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่จีนประกาศขยายมาตรการควบคุมการส่งออกพวกธาตุแรร์เอิร์ธ (rare earth elements หรือ REEs) เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา แล้วจากนั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ข่มขู่ในวันที่ 10 ตุลาคม ว่าจะจัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าจีนในอัตราเพิ่มขึ้นไปอีก 100% ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเหล่านี้คือการตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจกันซึ่งหยั่งรากลงลึกยิ่งขึ้นทุกทีระหว่างระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก 2 รายนี้

จีน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ควบคุมศักยภาพในการแปรรูปแรร์เอิร์ธเอาไว้ได้ประมาณ 85-90% ของโลก ได้นำเสนอมาตรการในรูปของการออกประกาศต่อเนื่องกันหลายฉบับของกระทรวงพาณิชย์แดนมังกร ซึ่งกำลังส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทั้งต่อเทคโนโลยีในการแปรรูปแรร์เอิร์ธ, แบตเตอรีที่ทำจากแรร์เอิร์ธ, รวมทั้งพวกวัสดุที่ความแข็งเป็นพิเศษซึ่งทำจากธาตุเหล่านี้ โดยมาตรการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วกำลังจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

เพื่อเป็นการตอบโต้ ทรัมป์ได้ข่มขู่ที่จะเพิ่มภาษีศุลกากรสูงขึ้นอีก 100% โดยบวกจากอัตรา 30% ซึ่งเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทั้งหมดอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เวลาเดียวกันนั้น เขายังสร้างความคลางแคลงไม่แน่นอนให้กับการพบปะเจรจาระหว่างตัวเขากับ สี ซึ่งก่อนหน้านี้วางแผนว่าจะจัดขึ้นข้างเคียงการประชุมซัมมิตของกลุ่มเอเปก ที่เกาหลีใต้ ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้

ปรากฏว่าตลาดการเงินพากันแสดงปฏิกิริยาด้วยการไหลรูดเข้าสู่แดนลบอย่างรุนแรง ทำให้เม็ดเงินในรูปของราคาหุ้นต่างๆ หายสูญไปกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในชั่วเวลาเพียงแค่ 2 วัน ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะขยับสูงขึ้นท่ามกลางมาตรการต่างๆ ในทางส่งเสริมให้กำลังใจของสหรัฐฯ กลับพากันหันกลับมาส่งสัญญาณว่า โลกกำลังทำท่าเคลื่อนตัวมุ่งไปสู่ภาวะที่พวกห่วงโซ่อุปทานทั้งหลายจะต้องแตกแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยแต่ละส่วนถอยห่างจากกันอย่างหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นทุกที และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการค้าของโลกอย่างใหญ่โตกว้างขวางขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

จุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งซึ่งมีความแตกต่างมากทีเดียว กับการลงมือปฏิบัติการครั้งก่อนๆ ของแดนมังกร อยู่ตรงที่ขนาดขอบเขตของมาตรการควบคุมซึ่งประกาศในเดือนตุลาคมคราวนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกมาตรการที่ปักกิ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน 2025 โดยที่พวกมาตรการเดือนเมษายนพุ่งเป้าไปที่การคุมเข้มธาตุแรร์เอิร์ธ 7 ชนิด อีกทั้งมุ่งไปที่การควบคุมการส่งออกในรูปวัตถุดิบเป็นสำคัญ กระนั้นมันก็ยังนำไปสู่ภาวะขาดแคลนชั่วคราว ซึ่งกว่าจะบรรเทาลงได้ก็ต้องอาศัยการพูดจาระดับทวิภาคีแบบเจอะเจอกันโดยตรงหลายต่อหลายรอบในห้วงเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน กระทั่งมีผลลัพธ์ออกมาในรูปของผลกระทบระดับที่ลดน้อยลงโดยเปรียบเทียบ ต่อพวกบริษัททั่วโลกซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยพวกธาตุแรร์เอิร์ธ สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี), เซมิคอนดักเตอร์, ตลอดจนพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารที่เน้นเรื่องความแม่นยำ

ในทางตรงกันข้าม มาตรการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดยิ่งขึ้นซึ่งจีนประกาศออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีทั้งการเพิ่มธาตุแรร์เอิร์ธขนาดหนักเข้ามาอีก 5 ชนิด ซึ่งธาตุเหล่านี้ถูกนำไปใช้สำหรับทำพวกแม่เหล็กรถอีวี และพวกลูกจรวดนำวิถีความแม่นยำสูง พร้อมกันนั้นก็ขยายการจำกัดควบคุมให้ครอบคลุมถึงเทคโนโลยีสำหรับการทำให้แรร์เอิร์ธมีความบริสุทธิมากยิ่งขึ้น, เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการแปรรูปแรร์เอิร์ธ, และพวกผลิตภัณฑ์ที่มีธาตุแรร์เอิร์ธซึ่งแปรรูปโดยจีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย ในปริมาณตั้งแต่ 0.1% ขึ้นไป นี่หมายความว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การส่งออกผลิตภัณฑ์รายการเหล่านี้จะต้องขอใบอนุญาตจากทางการจีนเสียก่อน โดยที่การขอนำไปในเพื่อกิจการทางทหาร หรือเพื่อกิจการที่ใช้ได้ 2 ทาง (dual-use) นั่นคือ ใช้ได้ทั้งในทางการทหารและในทางพลเรือนนั้น ปักกิ่งบอกเลยว่าจะถูกปฏิเสธไม่อนุญาตโดยอัตโนมัติ

ยิ่งไปกว่านั้น การควบคุมเหล่านี้ยังจะมีส่วนที่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตอีกด้วย เป็นต้นว่า กฎระเบียบว่าด้วย “บุคคลที่เป็นชาวจีน” (Chinese persons) ซึ่งห้ามคนสัญชาติจีนไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับธาตุแรร์เอิร์ธในต่างแดน ถ้าหากว่าไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีน ทั้งนี้ข้อกำหนดเช่นนี้ก็คล้ายคลึงกับกฏระเบียบจำกัดควบคุม “บุคคลที่เป็นชาวสหรัฐฯ” (US persons) ซึ่งอเมริกาประกาศใช้ เพื่อห้ามไม่ให้คนสัญชาติอเมริกันเข้ามีส่วนในกิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอ่อนไหวต่างๆ ในต่างแดนนั่นเอง

การที่จีนเลียนแบบกฎระเบียบว่าด้วย “ผลิตภัณฑ์โดยตรงของต่างประเทศ” (foreign direct product) ของทางสหรัฐฯเช่นนี้ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่มันยังจะนำไปสู่การที่จีนจะประกาศบัญชีดำที่เรียกกันว่า “บัญชีรายชื่อองค์การและบุคคล” (Entity List) ของตนเองขึ้นมา แบบเดียวกับที่อเมริกากำลังทำอยู่เช่นกัน เพื่อเป็นเครื่องมือในการเฝ้าติดตามพวกเอนด์ยูสเซอร์ในที่ต่างๆ ทั่วโลก เหล่านี้ก็คือการที่ปักกิ่งขยายการบังคับใช้กฎระเบียบของตัวเองให้เลยออกไปจากเขตพรมแดนของแดนมังกร เช่นเดียวกับที่วอชิงตันมีการปฏิบัติอยู่ในเวลานี้นั่นเอง

ข้อบัญญัติเช่นนี้ของจีนซึ่งพุ่งเป้าให้ครอบคลุมพวกห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง สามารถสร้างความกระทบกระเทือนให้แก่บรรดาอุตสาหกรรมซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยธาตุแรร์เอิร์ธ ในในรูปของแม่เหล็ก, แสงเลเซอร์, ตลอดจนกระบวนการในการพิมพ์ลายบนแผ่นเวเฟอร์ (etching processes)

ผลกระทบของเรื่องนี้จะแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างไกลไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ทั้งนี้ แผนการริเริ่มด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯอาจจะสูงถึง 30% ทีเดียว โดยรวมไปถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางการบินของเครื่องบินขับไล่ F-35 อาจจะเผชิญปัญหาล่าช้าสืบเนื่องจากการขาดแคลนธาตุแรร์เอิร์ธ โบอิ้ง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการบินและและก็เป็นยักษ์ใหญ่ในแวดวงผู้รับจ้างรับเหมาด้านกลาโหมด้วย ก็อาจเผชิญหน้ากับการทำการผลิตไม่ได้ตามแผน จากการที่สามารถเข้าถึงพวกแม่เหล็กพิเศษเฉพาะต่างๆ ได้เพียงจำกัด

ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พวกบริษัทอย่างเช่น อินวิเดีย, อินเทล, และแอปเปิล อาจจะได้เห็นต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นถึงราว 25% ส่วนภาครถอีวี ที่รวมไปถึงแบรนด์ใหญ่ชื่อดังอย่าง เทสลา, ฟอร์ด, และจีเอ็ม ก็เผชิญหน้าความเป็นไปได้ที่จะต้องตัดลดการผลิตลงราว 15-30% สืบเนื่องจากภาวะขาดแคลนแรร์เอิร์ธ

ไม่เพียงสหรัฐฯเท่านั้น บรรดาบริษัททางยุโรปอย่างเช่น แอร์บัส และพวกผู้ผลิตรถยนต์ในทั่วโลก อย่างเช่น โฟล์กสวาเกน, ฮุนได, และโตโยต้า เช่นเดียวกับ ทีเอสเอ็มซี ผู้ผลิตชิปรายยักษ์ในไต้หวัน ก็อยู่ในรายชื่อพวกที่จะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่โตเช่นเดียวกัน

จังหวะเวลาในการปล่อยหมัดยั่วยุสะท้านวงการคราวนี้ของจีน ซึ่งมีขึ้นเพียงไม่นานก่อนการประชุมซัมมิตของกลุ่มเอเปก ดูเหมือนมุ่งหมายที่จะให้เชื่อมโยงพัวพันกับการปฏิบัติการหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่นานมานี้ของสหรัฐฯ ตลอดจนเป็นไปได้ว่ามุ่งเป็นการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้พัฒนาการหลายๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันอีกด้วย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 กันยายน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯได้ประกาศใช้ “กฎระเบียบสำหรับกิจการในเครือ” (Affiliates Rule) ซึ่งมีเนื้อหาให้ขยายข้อจำกัดควบคุมที่ใช้กับพวกบริษัทและตัวบุคคลในบัญชี Entity List ให้ครอบคลุมถึงกิจการทั้งหลายซึ่งพวกที่อยู่ในบัญชีดังกล่าวนี้ถือหุ้นอยู่ตั้งแต่ 50% ขึ้นมา โดยที่การออกกฎเช่นนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดกลยุทธ์ในการใช้ช่องโหว่หลบเลี่ยงของฝ่ายจีน

วันเดียวกันนั้นเอง วุฒิสภาสหรัฐฯได้ผ่านรัฐบัญญัติ ไบโอซีเคียว (BIOSECURE Act) ที่เป็นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐบัญญัติการให้อำนาจเพื่อการป้องกันแห่งชาติ (National Defense Authorization Act) โดยมีเนื้อหาห้ามวงการเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ไปเกี่ยวช้องใช้สอยพวกกิจการจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ

นอกจากนั้น สภาสูงของสหรัฐฯยังผลักดันรัฐบัญญัติต่อสู้จีน (FIGHT China Act) ให้เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก โดยที่จะสกัดกั้นการลงทุนจากภายนอกเข้าไปในภาคเซมิคอนดักเตอร์, ปัญญาประดิษฐ์, และภาคการคำนวณแบบควอนตัมของจีน ก้าวเดินเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมใจกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่สหรัฐฯ ในการผลักดันสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

เรื่องไต้หวันก็อาจจะเป็นความวิตกกังวลใหญ่อีกอย่างหนึ่งสำหรับจีน ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมปัญหานี้จึงบานปลายขยายตัวไปอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เฮาเวิร์ด ลุตนิก (Howard Lutnick) เสนอให้ไต้หวันแบ่งการผลิตชิปของตนออกมายังสหรัฐฯในสัดส่วน “50-50” เพื่อเพิ่มพูนให้ผลผลิตภายในประเทศของสหรัฐฯกระเตื้องเร็วขึ้น และเวลาเดียวกันก็จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนความมั่นคงของไต้หวันไปด้วย

ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม ประธานาธิบดีของไต้หวันได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแผนการนี้ โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ “โล่ซิลิคอน” (silicon shield) ของเกาะแห่งนี้ พร้อมกับชี้ว่า บริษัททีเอสเอ็มซี มีเจตนารมณ์ที่จะนำเอาการผลิตระดับก้าวหน้าของตนไปปักหลักตั้งฐานอยู่ที่รัฐแอริโซนาของสหรัฐฯภายในปี 2030 เพียงแค่ 20% เท่านั้น
(หมายเหตุผู้แปล - การที่ไต้หวันสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จนแข็งแกร่ง โดยที่อุตสาหกรรมนี้ก็มีความสำคัญในทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นทุกที ทำให้บ่อยครั้งทีเดียวที่อุตสาหกรรมนี้ของไต้หวันถูกอ้างอิงว่า เป็นเสมือน “โล่ซิลิคอน” Silicon Shield ที่ช่วยปกป้องคุ้มครองไต้หวัน ในแง่ที่ว่าไม่มีฝ่ายใดต้องการสร้างความปันป่วนวุ่นวายให้แก่ไต้หวัน ซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมชิปไปด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Semiconductor_industry_in_Taiwan#:~:text=The%20geopolitical%20strength%20of%20the,to%20audiences%20in%20democratic%20countries.)

กระนั้นก็ตาม จีนก็น่าที่จะมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการที่ไต้หวันอาจถ่ายโอนเทคโนโลยีและสมรรถนะการผลิตชิประดับก้าวหน้าของตนไปยังสหรัฐฯ นอกจากนั้นแล้ว น่าสังเกตว่าข้อบัญญัติในลักษณะสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในมาตรการควบคุมการส่งออกระลอกล่าสุดของจีนคราวนี้ สามารถถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นงานการขายชิปของทีเอสเอ็มซีให้แก่พวกบริษัทสหรัฐฯ จากข้อกำหนดที่ปักกิ่งระบุให้ต้องขอใบอนุญาตจากตนเสียก่อนสำหรับการส่งออกวัสดุสำคัญๆ เช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่ชื่อของ ทีเอสเอ็มซี จะถูกบรรจุเอาไว้ในบัญชี Entity List ของฝ่ายจีน ยังอาจจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานด้านเอไอของสหรัฐฯยิ่งมีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่จีนได้เริ่มต้นส่งสัญญาณแสดงความปรารถนาที่จะเปิดการเจรจาต่อรองกันอีกครั้งและลดทนความตึงเครียดไม่ให้บานปลายออกไป แต่ท่าทีตอบสนองเบื้องต้นของจีนต่อคำข่มขู่ขึ้นภาษีศุลกากรขึ้นไปอีก 100% ของทรัมป์ ก็ยังคงมีน้ำเสียงของการแสดงความพรักพร้อมเผชิญหน้า ดังเห็นได้จากการที่ปักกิ่งสั่งดำเนินการสอบสวนเพื่อต่อต้านการผูกขาดในวิธีปฏิบัติต่างๆ ทางด้านชิปเอไอของอินวิเดีย, การเพิ่มการเข้มงวดในการตรวจสอบเซมิคอนดักเตอร์ของเอ็นวิเดีย และควอลคอมม์ ที่ท่าเรือจีนทั้งในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น. ตลอดจนการตอบโต้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากพวกเรือสินค้าที่มีความเกี่ยวพันโยงใยกับสหรัฐฯ

เมื่อมองถึงสิ่งต่างๆ ในอนาคตแล้ว –กระทั่งว่าสหรัฐฯกับจีนสามารถทำข้อตกลงสงบศึกกันได้อีกครั้งหนึ่งเพื่อรักษาหน้าให้แก่การที่ทรัมป์-สีสู้อุตส่าห์พบปะเจรจาแบบเห็นหน้าเห็นตากันในสิ้นเดือนนี้ที่กรุงโซล ความไม่ไว้วางใจกันอย่างล้ำลึกและความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลพวงต่อเนื่องอย่างสำคัญจากสงครามมุ่งจำกัดควบคุมการส่งออกซึ่งยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ก็น่าที่จะเร่งรัดให้เกิดการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทานออกมาเป็น 2 สายอยู่ดี

ขณะที่สหรัฐฯได้รับบาดเจ็บจากภาวะขาดแคลนธาตุแรร์เอิร์ธ –หรือจากการข่มขู่ว่าจะเกิดการขาดแคลนก็ตามที มันก็น่าจะทำให้เกิดการเร่งรัดเพิ่มพูนการลงทุนในแหล่งแร่แรร์เอิร์ธตลอดจนสมรรถนะในการแปรรูปแร่ธาตุเหล่านี้ในที่อื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่เพิ่มขึ้นมา

สำหรับจีน ก็น่าจะลดทอนการพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีสหรัฐฯตลอดจนตลาดสหรัฐฯลงมาเรื่อยๆ ขณะที่เร่งรัดแรงผลักดันเพื่อให้สามารถพึ่งตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ส่วนพวกบริษัทต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการด้านเซมิคอนดักเตอร์, รถอีวี, และกลาโหม ก็จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในขณะที่พวกเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบที่จะแตกออกเป็น 2 ระบบคู่ขนานกันไป

อลิเซีย การ์เซีย เฮอร์เรโร เป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ดูแลด้านเอเชีย-แปซิฟิก อยู่ที่ NATIXIS สถาบันการเงินระดับโลกซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส และเป็นนักวิจัยอาวุโสที่ Bruegel องค์การคลังสมองซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงบรัสเซลส์
กำลังโหลดความคิดเห็น