ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 100% ในวันศุกร์ (10 ต.ค.) รวมถึงขู่จะยกเลิกแผนการพบปะกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ช่วงปลายเดือนนี้ ในความเคลื่อนไหวที่ส่งผลให้ตลาดและความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะปั่นป่วนอีกครั้ง
ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดพบกับ สี ในอีกประมาณ 3 สัปดาห์ที่เกาหลีใต้ ได้โวยวายผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียกว่า แผนการของจีนที่จะใช้เศรษฐกิจโลกเป็นตัวประกัน หลังจากที่จีนได้ขยายมาตรการควบคุมส่งออกแร่ธาตุหายากในวันพฤหัสบดี (9)
เขาประกาศจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม 100% สำหรับสินค้าส่งออกของจีนที่มุ่งหน้าไปยังสหรัฐฯ รวมถึงเพิ่มการควบคุมการส่งออกใหม่สำหรับ "ซอฟต์แวร์ที่สำคัญทั้งหมด" ภายในวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งเป็นเวลา 9 วันก่อนที่มาตรการผ่อนคลายภาษีที่มีอยู่จะสิ้นสุดลง
ทรัมป์ ยังเอ่ยเสริมว่า "เดิมทีผมมีกำหนดจะพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าในการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำเช่นนั้น"
“ผมไม่ได้ยกเลิก” ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมา “ผมคิดว่าเราน่าจะยกเลิกได้”
ฝ่ายปักกิ่งเองไม่เคยยืนยันมาก่อนว่าจะมีการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองอย่างเป็นทางการในการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เป็นปฏิกิริยาของ ทรัมป์ ต่อการที่จีนขยายการควบคุมการส่งออกธาตุหายากอย่างมาก โดยจีนนั้นครองตลาดแร่ธาตุหายากเหล่านี้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการผลิตสินค้าด้านเทคโนโลยี
“มันน่าตกใจมาก” ทรัมป์ เอ่ยถึงมาตรการของจีนซึ่งก็ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่วอชิงตันโดยเฉพาะ “ผมคิดว่ามันแย่มากๆ”
ท่าทีแข็งกร้าวของ ทรัมป์ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดส่งผลกระทบทันทีต่อราคาหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 2% หลังจากที่เขาโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย คำพูดดังกล่าวทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์เหล่านั้นลดลง รวมถึงทองคำด้วย ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินต่างประเทศ
ทรัมป์ กล่าวว่า จีนได้ส่งจดหมายแจ้งประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่ามีแผนที่จะควบคุมการส่งออกทุกองค์ประกอบของการผลิตที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุหายาก
“สืบเนื่องจากที่จีนพูดถึง ‘ระเบียบ’ ที่ไม่เป็นมิตรที่พวกเขาเพิ่งประกาศออกมา ผมในฐานะประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา จะต้องตอบโต้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาในทางการเงิน” ทรัมป์กล่าวผ่าน Truth Social “สำหรับทุกๆ องค์ประกอบที่พวกเขาสามารถผูกขาดได้ เราจะตอบสนองเป็น 2"
การกระทำนี้เป็นสัญญาณของความแตกแยกครั้งใหญ่ที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน ซึ่งเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในรอบ 6 เดือน หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า การเจรจาผ่อนคลายสงครามการค้าซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ข้อจำกัดในการจัดส่งซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ไปยังจีนอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งรวมถึงระบบคลาวด์คอมพิวติงและปัญญาประดิษฐ์
ทรัมป์ ยังขู่จะควบคุมการส่งออกเครื่องบินและชิ้นส่วนเครื่องบินแบบใหม่ และแหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวางแผนเป้าหมายอื่นๆ ที่เป็นไปได้
ปักกิ่งเรียกร้องมานานแล้วให้สหรัฐฯ เลิกใช้ข้อจำกัดทางการค้าฝ่ายเดียว ซึ่งถือเป็นอุปสรรคต่อการค้าโลก
ความเคลื่อนไหวของจีนในวันพฤหัสบดี (9) ประกอบด้วยการเพิ่มองค์ประกอบ 5 อย่าง เพิ่มการตรวจสอบผู้ใช้งานเซมิคอนดักเตอร์ และเพิ่มเทคโนโลยีการกลั่น (refining technology) หลายสิบชิ้นลงในรายการควบคุมการส่งออกของจีน นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผู้ผลิตแร่ธาตุหายากจากต่างประเทศที่ใช้วัตถุดิบจากจีนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีน
จีนผลิตแร่ธาตุหายากและแม่เหล็กแรร์เอิร์ธที่ผ่านการแปรรูปมากกว่า 90% ของโลก แร่ธาตุหายากทั้ง 17 ชนิดนี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์อากาศยาน และเรดาร์ทางทหาร
ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเมื่อวันพฤหัสบดี (9) รัฐบาล ทรัมป์ ได้เสนอให้ห้ามสายการบินจีนบินผ่านรัสเซียในเส้นทางบินไปและกลับจากสหรัฐฯ และเมื่อวันศุกร์ (10) คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารแห่งสหรัฐอเมริกา (FIC) ระบุในเว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์หลักของสหรัฐฯ ว่า ได้ลบรายการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้องห้ามของจีนหลายล้านตัวออกจากรายการแล้ว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผลลัพธ์เชิงบวกจากการประชุมสุดยอด ทรัมป์-สี จิ้นผิง --- หากยังคงเกิดขึ้น --- นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 31 ต.ค. ณ เกาหลีใต้ มีความสุ่มเสี่ยงมากขึ้น
"สถานการณ์ต่างๆ กำลังน่าสนใจอย่างมาก" สก็อตต์ เคนเนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์จีนจากศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุ
ทั้งสองฝ่ายต่างหวังว่า การเพิ่มแรงกดดันจะทำให้อีกฝ่ายยอมรับข้อตกลงก่อนเริ่มการประชุมเอเปค หรือไม่ก็กลับมายกระดับสถานการณ์อีกครั้ง โดยถือว่าการบรรลุข้อตกลงที่เอเปคเป็นไปไม่ได้ และกำลังได้เปรียบในการต่อสู้รอบต่อไป
ที่มา: รอยเตอร์