xs
xsm
sm
md
lg

ว่าที่นายกฯหญิง ซานาเอะ ทาคาอิจิ จะประสบความสำเร็จเป็น ‘มาร์กาเรต แธตเชอร์ของญี่ปุ่น’ หรือจะล้มเหลวเป็นได้แค่ ‘ลิซ ทรัสส์’ คนต่อไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เซบาสเตียน มาสโลว์


ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิจิ เธอจะนำพรรคลิเบอรัลเดโมเครติกปาร์ตี้ (LDP) ไปเอียงไปทางขวามากขึ้น เพื่อรับมือกับกระแสพวกพรรคประชานิยมฝ่ายขวากำลังชนะใจผู้ออกเสียงในแดนอาทิตย์อุทัยสูงขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
(เก็บความจาก https://asiatimes.com/2025/10/is-sanae-takaichi-japans-margaret-thatcher-or-its-next-liz-truss/)

Is Sanae Takaichi Japan’s Margaret Thatcher – or its next Liz Truss?
by Sebastian Maslow
06/10/2025

ซานาเอะ ทาคาอิจิ อาจจะสามารถ นิยามจำกัดความ “ลัทธิอนุรักษนิยมแบบญี่ปุ่น” เสียใหม่ เหมือนกับที่ มาร์กาเรต แธตเชอร์ เคยทำมาแล้วในสหราชอาณาจักร หรือไม่ก็อาจจะประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับ ลิซ ทรัสส์

ภายใต้คำขวัญที่ประกาศเอาไว้ว่า ถึงเวลาที่จะต้อง “#เปลี่ยนLDP” พรรคลิเบอรัลเดโมเครติกปาร์ตี้ (Liberal Democratic Party หรือ LDP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ปกครองญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ก็ได้เลือก [1] ซานาเอะ ทาคาอิจิ เป็นผู้นำคนใหม่ของตน ตอนนี้สิ่งที่รอกันอยู่ คือขั้นตอนการลงคะแนนในสภาล่างของรัฐสภาญี่ปุ่น (ไดเอต Diet) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงต่อไปของเดือนนี้ แล้วเธอก็จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของญี่ปุ่น –และเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าครองตำแหน่งนี้

มองกันเผินๆ ทีแรกสุด เรื่องนี้ดูเหมือนกับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ ทาคาอิจิ ไม่เพียงแค่เป็นผู้นำหญิงคนแรกของพรรค LDP เท่านั้น แต่เธอยังเป็นหนึ่งในนักการเมืองญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงไม่กี่คนซึ่งก้าวขึ้นมาได้โดยไม่ได้รับเก้าอี้ในรัฐสภาเป็นมรดกจากการสืบทอดภายในตระกูล ในวัฒนธรรมทางการเมืองเฉกเช่นของญี่ปุ่น ซึ่งถูกครอบงำโดยการสืบต่ออำนาจแบบราชวงศ์โดยยึดเพศชายเป็นหลัก การผงาดสู่อำนาจของเธอจึงดูเหมือนกับเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเกิดขึ้นมานานแล้ว ในประเทศซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ยาวยาวนานในเรื่องความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างเพศชายเพศหญิง นี่สมควรเป็นภาพของความก้าวหน้าที่ทรงพลังมาก

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การก้าวขึ้นมาของ ทาคาอิจิ กลับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการกลับคืนไปสู่การเมืองแบบที่แสนคุ้นเคยกันมาเก่าก่อน นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าเธอ คือ ชิเงรุ อิชิบะ ลาออก [2] หลังจากครองตำแหน่งมาได้ 1 ปีในสภาพที่เขานำพาพรรค LDP สู่ความปราชัยในการเลือกตั้งทั่วไป ทว่าความพ่ายแพ้เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเขาเพียงคนเดียว อิชิบะประกาศที่จะปฏิรูปพรรรค LDP หลังเกิดกรณีอื้อฉาวหลายๆ เรื่องทั้งความสัมพันธ์ที่พรรคมีอยู่กับคริสตจักร ยูนิฟิเคชั่น เชิร์ช (Unification Church) และพฤติการณ์รับเงินใต้โต๊ะ ทว่าเขาประสบกับแรงต่อต้านอย่างเหนียวแน่น

ขณะที่การรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก๊วนแบบเก่าๆ ภายในพรรค ปรากฏตัวเบ่งบานขึ้นมาใหม่ พวกตัวบุคคลระดับอาวุโสของ LDP ได้เข้าสนับสนุนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้สู่การเป็นผู้นำพรรคของ ทาคาอิจิ จึงกลายเป็นการตอบย้ำยืนยันระบบเครือข่ายของก๊วนต่างๆ ภายในพรรคการเมืองนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นิยามจำกัดความ ลัทธิอนุรักษนิยมแบบญี่ปุ่น มาอย่างยาวนาน ทาคาอิจิ เองก็ได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วถึงการหวนกลับคืน [3] ของการมีชนชั้นนำรุ่นเก่าๆ อยู่ตรงศูนย์กลางแห่งอำนาจของ LDP ขณะเดียวกับที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อยุติความพยายามทั้งหลายที่จะนำเอาพวกซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ในอดีตมาไล่เรียงเอาความผิด

ชัยชนะของ ทาคาอิจิ คือการส่งสัญญาณว่า พรรคกำลังปฏิบัติงานอยู่ในโหมดวิกฤต ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา LDP ต้องสูญเสียผู้ออกเสียงไปให้แก่พวกพรรคประชานิยมปีกขวาที่จัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ๆ เป็นต้นว่า พรรคซานเซโตะ (Sanseito) [4] เพื่อหยุดยั้งภาวะเลือดไหลออกไม่หยุดเช่นนี้ LDP จึงกำลังเคลื่อนย้ายมาสู่แนวทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมจัดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

แบบแผนของปรับตัวตาม “วิกฤตการณ์และการชดเชย” (crisis and compensation) [5] เช่นนี้ไม่ใช่ของใหม่เลย เมื่อช่วงทศวรรษ 1970 ตอนที่ถูกคุกคามจากการได้รับความนิยมสูงขึ้นของพวกฝ่ายซ้าย พวกอนุรักษนิยมญี่ปุ่นก็หันมายอมรับบรรดานโยบายด้านสวัสดิการและด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้พวกตนสามารถรักษาอำนาจเอาไว้ต่อไป ทุกวันนี้ ในการเผชิญความท้าทายจากพวกประชานิยมฝ่ายขวา LDP ก็เอนเอียงไปสู่ลัทธิชาตินิยม, การใช้ถ้อยคำโวหารแบบต่อต้านผู้อพยพ, และการประกาศลัทธิมุ่งแก้ไขประวัติศาสตร์ (historical revisionism)

สำหรับ ทาคาอิจิ ซึ่งพูดถึงตัวเองว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมทางสังคม (social conservative) เธอคัดค้านการเปิดทางให้สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลแยกกันของใครของคนนั้น รวมทั้งปฏิเสธไม่ยินยอมให้สตรีสามารถสืบทอดขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่น เธอยังแสดงความชื่นชมยกยกย่อง มาร์กาเรต แธอเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าวาระการเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นของเธอเองจะสามารถพิสูจน์ตัวว่าก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มากมายพอๆ กันกับของไอดอลในดวงใจของเธอหรือไม่นั้น ยังคงต้องเฝ้าติดตามชมกันต่อไป

ทาคาอิจิ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดคนหนึ่งของ ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ และถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าเธอคือผู้ถือคบเพลิงแห่งมรดกทางการเมืองของเขา ในทางเศรษฐกิจ เธอให้คำมั่นสัญญาที่จะสืบต่อ [6] พวกนโยบายทางการคลังและทางการเงินแบบ “อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) [7] ซึ่งมุ่งเน้นการขยายตัวต่อไป , ให้ความสำคัญลำดับแรกแก่การเติยโตของเศรษฐกิจ เหนือกว่าการจำกัดดึงรั้งการใช้จ่ายทางการคลังเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินปริมาณมหาศาลของประเทศชาติ

จากการที่อัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพีของญี่ปุ่นในปัจจุบันสูงลิ่วเกินกว่า 260% แล้ว ทาคาอิจิ ยังคงไม่ได้เสนออะไรที่ชัดเจน ในเรื่องที่เธอจะใช้วิธีการอย่างไรเพื่อหาเงินทองงบประมาณมาได้อย่างเพียงพอสำหรับการสนับสนุนแผนการต่างๆ ของเธอในการผ่อนคลายแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้แก่ครัวเรือนชาวญี่ปุ่นทั้งหลาย ในทางการเมือง เธอมุ่งหาทางทำโครงการ “นำเอาญี่ปุ่นกลับมา” (taking Japan back) ของอาเบะให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการนำแดนอาทิตย์อุทัยให้ก้าวออกจากข้อจำกัดรัดตัวต่างๆ ของพวกระบบการเมืองที่ใช้กันมาหลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยวิธีการก็คือการผลักดันให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เน้นแนวทาง “สันตินิยม” อย่างแรงกล้า และเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ด้านกลาโหมของประเทศ

ทาคาอิจิ (แถวหน้า ขวา) เป็นพันธมิตรสนิทของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ (แถวหน้า กลาง)
ในด้านนโยบายการต่างประเทศ ทาคาอิจิ สนับสนุนวิสัยทัศน์ของอาเบะ ในเรื่อง ภูมิภาค “อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” (Free and Open Indo-Pacific) เธอป่าวร้องเห็นดีเห็นงามกับการที่ญี่ปุ่นจะมีความร่วมมืออย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ ตลอดจนภายในกลุ่มคว็อด (Quad) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, และอินเดีย เธอยังสนับสนุนการรวมตัวเป็นหุ้นส่วนระดับภูมิภาคกันอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น [8] เพื่อเพิ่มพูนอำนาจในการป้องปราม

จุดยืนแบบสายเหยี่ยวต่อจีนและเกาหลีเหนือของเธอ เข้ากับได้ดีกับวาระเช่นนี้ เธอประกาศที่จะเพิ่ม [9] งบประมาณด้านกลาโหม ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจะได้รับการต้อนรับอย่างยินดีจากคณะบริหารทรัมป์ในสหรัฐฯ ที่พยายามรบเร้าโตเกียวอยู่แล้วให้ถือเกณฑ์ขององค์การนาโต้มาเป็นหลักหมาย นั่นคือมุ่งเพิ่มงบประมาณทางทหารให้ถึงระดับเท่ากับ 5% ของจีดีพี ทั้งนี้ในปัจจุบันของญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 1.8% ของจีดีพีเท่านั้น

ทาคาอิจิ ยังได้รับมรดกตกทอดจากรัฐบาลชุดก่อน ในรูปของการทำข้อตกลงการค้ากับวอชิงตันที่ยังไม่ลงตัวอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในประเด็นแพกเกจการไปลงทุนในสหรัฐฯของญี่ปุ่นที่จะมีมูลค่าสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ [10] โดยที่ขณะนี้รายละเอียดจำนวนมากยังคงไม่ได้มีการตกลงกัน

การที่ ทาคาอิจิ เดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาซูกูนิ อยู่เป็นประจำ น่าจะโหมกระพือความตึงเครียดที่มีอยู่กับจีน  นอกเหนือจากนโยบายการต่างประเทศของเธอซึ่งมุ่งเดินตามอเมริกาอย่างใกล้ชิดแล้ว
ขณะเดียวกัน การที่ในอดีตเธอเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาซูกูนิ (Yasukuni Shrine) ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงโต้แย้งกันอย่างรุนแรง –เนื่องจากศาลเจ้าในลัทธิชินโตแห่งนี้ ยกย่องให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามของญี่ปุ่น ซึ่งรวมไปถึงพวกอาชญากรสงครามในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดจริงเอาไว้ด้วย— อยู่เป็นประจำ ก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นการตัดทอนลบเลือนความก้าวหน้าซึ่งเกิดขึ้นในระยะหลังๆ นี้ของความสัมพันธ์ที่ญี่ปุ่นมีอยู่กับเกาหลีใต้ รวมทั้งยังจะเพิ่มความร้อนระอุให้แก่ความตึงเครียดที่มีอยู่กับจีนอีกด้วย ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ถ้ายังเดินหน้าต่อไป ยังอาจตัดรอนความพยายามของญี่ปุ่นในการแสดงตัวเป็นพลังแห่งการสร้างเสถียรภาพพลังหนึ่งในความมั่นคงระดับภูมิภาคอีกด้วย

สำหรับภายในประเทศ ความท้าทายใหญ่ยิ่งที่สุดของ ทาคาอิจิ จะได้แก่การตะล่อมพรรค LDP ซึ่งแตกออกเป็นก๊วนๆ เป็นเสี่ยงๆ ให้มารวมตัวกัน ขณะเดียวกับที่ต้องแก้ไขปลอบโยนพวกผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งมีความหงุดหงิดผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ พวกผู้ออกเสียงที่กำลังเผชิญปัญหาค่าจ้างแรงงานชะงักงันแต่ค่าครองชีพด้านต่างๆ กำลังขยับสูงขึ้น อาจจะมีความอดทนอดกลั้นเพียงน้อยนิดสำหรับการต่อสู้กันทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์

คณะรัฐมนตรีชุดที่เธอกำลังจะแต่งตั้งขึ้น ก็จะต้องเผชิญกับไดเอต (รัฐสภาญี่ปุ่น) ซึ่งแตกแยกกันหนักเช่นเดียวกัน โดยที่พรรค LDP เองเวลานี้ไม่สามารถครองเสียงข้างมากได้ในทั้งสองสภา การขยายพันธมิตรเข้ามาร่วมในคณะรัฐบาลผสม [11] นั้น เป็นทางเลือกประการหนึ่ง ทว่าพรรคโคเมโตะ (Komeito) ที่เป็นคู่หูร่วมรัฐบาลของ LDP มาอย่างยาวนาน ยังคงมีความกังวลไม่สบายใจเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอดจนกับพวกนโยบายชาตินิยม ทาคาอิจินั้นได้พูดเป็นนัยๆ [12] ออกมาแล้วในเรื่องที่จะเกี้ยวพาพวกพรรคประชานิยมหน้าใหม่ๆ เข้ามาร่วมให้การสนับสนุนเธอ เพื่อผลักดันกฎหมายต่อต้านการจารกรรมฉบับหนึ่งที่เธอต้องการให้ออกมาบังคับใช้ ตลอดไปถึงพวกมาตรการควบคุมผู้อพยพอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

ในหลายๆ แง่มุมแล้ว การก้าวขึ้นมาของ ทาคาอิจิ คือการห่อหุ้ม LDP เอาไว้อย่างมั่นคงให้อยู่ภายในยุทธศาสตร์เพื่อการอยู่รอดที่ LDP นำมาใช้งานกันนานแล้ว ซึ่งก็คือ การปรับตัวโดยที่ไม่ต้องมีการประดิษฐ์คิดสร้างอะไรกันใหม่ (adaptation without reinvention) การอวดอ้างของพรรคเกี่ยวกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แท้จริงแล้วเป็นการปกปิดอำพรางความต่อเนื่องที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปภายใน ซึ่งก็คือ การพึ่งพาอาศัยตัวบุคคลฝ่ายอนุรักษนิยมที่มีอาณาบารมี มาเป็นตัวรักษาอำนาจเอาไว้ ท่ามกลางความเหนื่อยหน่ายหมดแรงของผู้ออกเสียง และความอ่อนแอของฝ่ายค้าน ความเป็นผู้นำของเธออาจจะสามารถทำให้ฐานปีกขวาของ LDP มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง ทว่าแทบไม่ได้เสนอสัญญาณของการปฏิรูปทางสถาบันหรือการยอมรับความหลากหลายในทางความคิดอุดมการณ์เอาเลย

ดังนั้น สมัยแห่งการเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนรูปพลิกโฉม หรือว่าเป็นเพียงการสร้างเสริมแบบแผนเก่าๆ ต่างๆ ให้มั่นคงขึ้นกันแน่ ยังดูเป็นเรื่องที่ไม่มีความแน่ชัด คำมั่นสัญญาของเธอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะสามารถซื้อเวลาไปสักระยะหนึ่ง ทว่าความท้าทายเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้นของญี่ปุ่น –ดังเช่น โครงสร้างทางประชากรที่กำลังสูงวัยขึ้นเรื่อยๆ, ความไม่เสมอภาคเท่าเทียม, และความเสื่อมโทรมของเขตภูมิภาค— ล้วนแต่เรียกร้องความสร้างสรรค์ซึ่ง LDP เอาแต่คอยเลื่อนออกไปเรื่อยๆ มานานเต็มทีแล้ว แล้วถ้าหาก ทาคาอิจิ หันมาเน้นหนักที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเมืองเชิงอัตลักษณ์ (identity politics) เธอก็เสี่ยงที่จะทำให้พวกผู้ออกเสียงแนวคิดกลางๆ เกิดความแปลกแยก รวมทั้งสร้างความอ่อนล้าให้แก่ความอดทนอดกลั้นของสาธารณชนในเรื่องสงครามวัฒนธรรม

การเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ [13] ในช่วงต่อไปของเดือนนี้ ตลอดจนการประชุมซัมมิตระดับภูมิภาคที่จะมีขึ้นหลายๆ นัดต่อเนื่องกัน จะทำให้เธอเข้าสู่การทดสอบความสามารถในทางการทูตครั้งแรกของเธอ มันยังจะเป็นการเสนอให้เห็นภาพแวบหนึ่ง ของวิธีการที่เธอจะใช้ในการสร้างความสมดุลระหว่างนโยบายการต่างประเทศเชิงรุกอย่างมั่นใจ กับเครดิตความน่าเชื่อถือภายในประเทศ ทั้งนี้คะแนนที่เธอจะได้รับจำนวนมากทีเดียวจะขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอในการทำให้พวกผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังระแวงข้องใจอยู่เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่า ความเป็นผู้นำของเธอเป็นตัวแทนของเนื้อหาอันใหญ่โตยิ่งกว่าเพียงแต่เป็นอีกบทตอนหนึ่งในการเมืองเพื่อการอยู่รอดของพรรค LDP เท่านั้น

ถ้าเธอประสบความสำเร็จ ทาคาอิจิ ก็จะสามารถนิยามจำกัดความลัทธิอนุรักษนิยมแบบญี่ปุ่นกันเสียใหม่ และสร้างมรดกอันคงทนถาวรขึ้นมาในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศญี่ปุ่น ถ้าหากเธอพบกับความล้มเหลว การเปรียบเทียบเธอว่าเป็น “มาร์กาเรต แธตเชอร์ ของญี่ปุ่น” ก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยการเปรียบเปรยถึงความละม้ายเหมือนกับ ลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) นายกรัฐมนตรีหญิงอีกคนหนึ่งของสหราชอาณาจักรที่ครองตำแหน่งอยู่ได้สั้นจู๊ดจู๋ ท่ามกลางความแตกแยกภายในพรรค และความคาดหวังที่มิได้รับการสนองตอบ

เซบาสเตียน มาสโลว์ เป็นรองศาสตราจารย์ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และวิชาการเมืองและสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัย อยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว

ข้อเขียนนี้มาจากเว็บไซต์ เดอะ คอนเวอร์เซชั่น https://theconversation.com/ โดยสามารถติดตามอ่านข้อเขียนดั้งเดิมชิ้นนี้ได้ที่ https://theconversation.com/is-sanae-takaichi-japans-margaret-thatcher-or-its-next-liz-truss-266478

เชิงอรรถ
[1] https://asia.nikkei.com/politics/japan-leadership-race/takaichi-needs-to-be-regional-unifier-not-divider-us-analysts-say
[2] https://theconversation.com/why-did-japanese-prime-minister-shigeru-ishiba-resign-and-who-might-replace-him-264768
[3]https://digital.asahi.com/articles/ASTB43QYTTB4UTFK009M.html?iref=comtop_7_01
[4] https://asia.nikkei.com/opinion/sanseito-brings-far-right-populism-to-japan
[5]https://press.princeton.edu/books/paperback/9780691023380/crisis-and-compensation
[6] https://www.reuters.com/world/japan-lawmaker-takaichi-call-income-tax-cuts-cash-payout-nikkei-says-2025-09-18/
[7] https://www.bbc.com/news/business-62089543
[8] https://www.hudson.org/politics-government/ldp-leadership-election-candidates-discuss-future-japanese-foreign-policy-iku-tsujihiro-riley-walters#:%7E:text=%E3%81%A8%E6%8E%A8%E9%80%B2%E3%81%99%E3%82%8B%E3%80%82-,Sanae%20Takaichi,-Member%2C%20Japanese%20House
[9] https://asia.nikkei.com/politics/japan-leadership-race/ldp-leadership-race-fuels-debate-over-japan-s-defense-budget
[10] https://www.politico.com/news/2025/10/03/japan-trump-trade-lutnick-00593711
[11]https://mainichi.jp/english/articles/20251005/p2g/00m/0op/002000c
[12] https://www.asahi.com/ajw/articles/16066589
[13]https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20251004_20/
กำลังโหลดความคิดเห็น