xs
xsm
sm
md
lg

จีนไม่เชื่อเสียแล้วว่ายังมีความเป็นไปได้ทื่จะกลับมารอมชอมกับสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ฟรานเชสโก ซิสซี


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (กลาง) กล่าวปราศัยในงานเลี้ยงรับรองที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ภายหลังพิธีสวนสนามรำลึกวาระครบรอบ 80 ปีชัยชนะเหนือญี่ปุ่นและสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/parades-and-charades-at-tiananmen/)

Parades and charades at Tiananmen
by Francesco Sisci
06/09/2025

คำปราศรัยและคำประกาศต่างๆ ของทางการจีนในวันที่พวกเขาจัดงานสวนสนามครั้งมโหฬารที่กรุงปักกิ่งเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา บ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะจะกลับมารอมชอมกับสหรัฐฯได้อีกครั้งหนึ่ง และกระทั่งไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เป็นความจำเป็นที่พึงปรารถนา

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 ที่ผ่านมา ในพิธีตรวจพลสวนสนามครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งจัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้โอ่อวดให้เห็นระบบอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการป้องกันประเทศ ซึ่งมีศักยภาพที่จะทัดทานตอบโต้สหรัฐอเมริกา

มันแสดงให้เห็นว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้มีฐานะเป็นหุ้นส่วนระดับผู้น้อยของฝ่ายอเมริกันอีกต่อไปแล้ว อย่างที่มีชาวอเมริกันบางคนบางฝ่ายเคยเชื่อเช่นนั้นอย่างแน่นแฟ้นตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ทว่าแดนมังกรกำลังกลายเป็นมหาอำนาจระดับโลกรายหนึ่งซึ่งพรักพร้อมทั้งในการพิทักษ์ปกป้องและในการรุกคืบแผ่ขยายผลประโยชน์ต่างๆ ของตนเอง

ประการที่สอง การปรากฏตัวของอินเดีย ณ การประชุมซัมมิตขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization หรือ SCO) ในเมืองเทียนจิน เมื่อ 2 วันก่อนหน้านั้น เป็นเครื่องยืนยันว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังได้พันธมิตรใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา ขณะที่สหรัฐฯกลับอยู่ในภาวะที่กำลังสูญเสียเพื่อนมิตรไปเรื่อยๆ

ประการที่สาม จีนได้ใช้วาระโอกาสนี้ประกาศปรัชญาของตนสำหรับการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งดูเหมือนเป็นการเดินตามนโยบายแห่งการไม่แทรกแซงชาติอื่น (policy of non-interference) โดยมุ่งไปที่พวกมหาอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ยกเว้นในกรณีที่สิทธิต่างๆ ซึ่งพวกเขาประกาศอ้างเอาไว้จะถูกล่วงละเมิด ในทางทฤษฎีแล้ว การไม่แทรกแซงชาติอื่น ย่อมต้องสามารถประยุกต์ใช้กับทุกๆ ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของยูเครน มันกลับแสดงให้เห็นว่ายังคงมีแนวความคิดทำนองที่ว่า สำหรับพวกประเทศที่ทรงความสำคัญ อย่างเช่นรัสเซีย จะต้องนำเอาความรับรู้เข้าใจต่างๆ ของประเทศเหล่านี้มาคำนึงถึงด้วย ส่วนพวกประเทศที่มีอิทธิพลบารมีน้อยกว่า อย่างเช่นยูเครน ก็จะต้องยอมแสดงท่าทีประนอมรอมชอม

ประการสุดท้าย จีนได้มีการตรวจสอบทบทวนประวัติศาสตร์กันใหม่ โดยที่ประวัติศาสตร์คือส่วนประกอบเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาพิจารณาเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด ปรากฏว่า ชัยชนะของอเมริกันเหนือญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองได้ถูกลบเลือนออกไป โดยหันมานิยมชมชื่นประวัติศาสตร์ในเวอร์ชั่นที่ระบุว่า กองทัพรัสเซียและกองทัพคอมมิวนิสต์จีน คือฝ่ายที่สร้างความปราชัยให้แก่ญี่ปุ่น

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องความรับรู้เข้าใจเกี่ยวกับโลกปัจจุบันโดยทั่วไป อเมริกาอภิปรายถกเถียงเรื่องภาษีศุลกากรเพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจของตัวเองขึ้นมาใหม่ ขณะที่ปักกิ่งเน้นย้ำไปที่เรื่องการเติบโตขยายตัวของทั่วทั้งภูมิภาค อีกทั้งให้คำมั่นสัญญาจะจัดหางบประมาณจำนวน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้จ่ายเป็นเงินทุนสำหรับการก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาขององค์การ SCO ขึ้นมา

ความช่วยเหลือของปักกิ่งอาจจะมาพร้อมกับราคาที่สูงทีเดียว ทว่ามันเป็นราคาที่สูงกว่าความช่วยเหลือที่จะมาจากฝ่ายตะวันตกหรือเปล่า? ยิ่งสำหรับในตอนนี้ด้วยแล้ว ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อจากสหรัฐฯยังไงก็จะไม่มาหรอก ไม่ว่าจะในราคาเท่าใดก็ตาม

ตรงนี้แหละ จีนกำลังใช้ยุทธศาสตร์ที่ทั้งมีความละเอียดถี่ถ้วนและทั้งครอบคลุม โดยไม่เข้าเผชิญหน้ากับสหรัฐฯตรงๆ แต่พยายามหาช่องว่างทั้งหมดทั้งสิ้นที่ตนสามารถใช้ได้เพื่อนำตัวเองแทรกเข้าไป โดยรวมถึงเข้าไปในบรรดาประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯอยู่แล้วด้วย (งานเขียนของ ต้า เหว่ย Da Wei เสนอภาพภูมิหลังของเรื่องนี้เอาไว้ได้ดี อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ได้ที่ https://rsis.edu.sg/rsis-publication/rsis/strategic-decoupling-and-its-implications-for-us-china-relations/)

เวลานี้ ระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังมีการแยกขาดจากกันในทางยุทธศาสตร์เชิงจิตวิทยา คู่ขนานไปกับการที่ในช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา จีนมีความมั่นอกมั่นใจมากขึ้นในการบริหารจัดการสถานการณ์ระหว่างประทศ สภาพเช่นนี้ลดทอนความสนใจของพวกเขาในการบรรลุถึงข้อตกลงกัน และนำไปสู่บรรยากาศความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เขม็งเกลียวกันมากขึ้น มันคือสงครามเย็นครั้งที่ 2 และมันอาจจะดำรงคงอยู่ไปเป็นเวลายาวนานทีเดียว

ในอีกด้านหนึ่ง นิรูปามา ราว (Nirupama Rao) นักการทูตอาวุโสชาวอินเดีย เสนอข้อคิดเห็น (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.indianarrative.com/opinion/the-archer-and-the-dragon-the-tightrope-that-defines-india-china-ties/) ว่า “สหรัฐฯไม่สามารถที่จะค้ำชูหนุนเสริมความสมดุลของชาวเอเชียได้” นี่ย่อมเป็นการสร้างเงาดำทะมึนเหนือกลุ่มคว็อด (Quad) อันเป็นข้อตกลงทางทหารในเอเชียระหว่างสหรัฐฯ, อินเดีย, ออสเตรเลีย, และญี่ปุ่น ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายต่อต้านจีน

ความคิดเห็นเช่นนี้สามารถเป็นสาเหตุให้ ญี่ปุ่น กับ ออสเตรเลีย ต้องหาทางในการประกันความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ในเวลาดำเนินยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงต่างๆ ของพวกเขา และพึ่งพาอาศัยสหรัฐฯในการต่อต้านคัดค้านจีนให้น้อยลง แล้วถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ภูมิทัศน์ด้านความมั่นคงของเอเชียจะเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างสำคัญทีเดียว ภัยคุกคามจากสหรัฐฯที่มีต่อจีนอาจจะลดน้อยลง ขณะเดียวกันก็อาจจะมีเพลเยอร์อื่นปรากฏขึ้นมาเพื่อที่จะร่วมมือประสานงานกับระบบความมั่นคงของเอเชีย โดยที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ ทว่ายังคงพุ่งเป้าหมายมุ่งเล่นงานจีนอย่างมีประสิทธิภาพ

ประเทศเอเชียบางรายอาจพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มันจบลงแบบที่กลายเป็นสถานการณ์ทำนองเดียวกับในยุโรป ซึ่งรัสเซียได้ทำให้อียูรู้สึกเซอร์ไพรซ์อย่างชนิดไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ด้วยการเข้ารุกรานยูเครน มันเป็นการเปิดโปงให้เห็นว่าอียูนั้นหวังพึ่งพาอาศัย นาโต้ อย่างมากมายแค่ไหน แล้วกลับปรากฏออกมาว่านาโต้นั่นเชื่อถือพึ่งพาอะไรไม่ได้เอาเสียเลย

สถานการณ์เช่นนี้ ยังอาจส่งผลกระทบอย่างสำคัญมากต่อการคิดคำนวณในเรื่องความมั่นคงของจีน อย่างไรก็ดี มันก็ย่อมกลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับอเมริกันเช่นเดียวกัน ถ้าหากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปแล้ว จุดยืนของสหรัฐฯในเรื่องว่าด้วยจีน อาจจะไม่ได้อยู่แนวเดียวกันกับผลประโยชน์ต่างๆ ของเหล่าพันธมิตรของตน หรือผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของเอเชีย โดยที่มีความเป็นไปได้ว่ามันยังจะกลายเป็นการบ่อนทำลายผลประโยชน์ต่างๆ ของจีนภายในสหรัฐฯอีกด้วย

จากการตั้งรับกลายเป็นการรุกคืบ

จีนเรียนรู้อยู่แล้วในเรื่องการหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดต่างๆ ของฝ่ายอเมริกัน ขณะที่ในตอนนี้ปักกิ่งใช้จุดยืนแบบตั้งรับ แต่พวกเขาก็สามารถที่จะสร้างยุทธศาสตร์ในการรุกคืบออกมาได้เช่นกัน ตรงนี้อาจจะบอกได้ว่ามันได้เผยให้เห็นจุดอ่อนเปราะในปัจจุบันของจีน นั่นคือ พวกเขายังต้องพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้สามารถดำเนินการรุกคืบทางการเมืองต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากสหรัฐฯสามารถหลีกเลี่ยงไม่ทำความผิดพลาด ผลกระทบจากความสำเร็จทั้งหลายของรัสเซียหรือของจีนก็สามารถที่จะเบี่ยงเบนออกไปได้อย่างมโหฬารทีเดียว

จากสภาพที่จีนอยู่ในภาวะแยกขาดออกจากสหรัฐฯในเชิงจิตวิทยา และจากคำแถลงต่างๆ ของแดนมังกรเมื่อวันที่ 3 กันยายน เหล่านี้ล้วนบ่งชี้ให้เห็นว่าปักกิ่งไม่ได้เชื่ออีกต่อไปแล้วในเรื่องที่ว่าการหวนกลับมารอมชอมกับสหรัฐฯใหม่อีกครั้งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือในระยะกลางก็ตามที อย่างไรก็ดี สิ่งที่จีนอาจจะเสาะแสวงหา น่าจะเป็นการรักษาสถานะเดิมเอาไว้ก่อน

เรื่องนี้คือการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างทีเดียว มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ส่วนบุคคล กล่าวคือ ตราบใดที่ยังคงมีความหวังว่าจะสามารถแก้ไขซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ให้กลับคืนดีขึ้นมาใหม่ คุณย่อมต้องพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ไปสร้างความผูกพันอื่นๆ ซ้อนขึ้นมาและเฝ้ารอดูสถานการณ์ไปก่อน แต่ในทันทีที่คุณยอมรับ แม้กระทั่งเพียงแค่การยอมรับภายในตัวคุณเองเท่านั้นก็ตามที ว่ามันจะไม่มีการหวนกลับคืนมาอีกแล้ว และพลวัตที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสมบูรณ์แบบก็เริ่มต้นขึ้น

นี่แหละคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ จีนนั้นเริ่มต้นขบคิดพิจารณาในแง่มุมของการมีระเบียบโลกใหม่ ซึ่งมีระเบียบกฎเกณฑ์ของตัวมันเอง ที่ความเป็นอิสระจากมาตรฐานต่างๆ แบบตะวันตก นี่แหละคือข้อความซึ่งทรงความสำคัญที่สุดที่ปรากฏออกมาให้รับรู้กันอย่างแข็งแกร่งแรงกล้าในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมา

ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งในสมการนี้ ได้แก่การที่เวลานี้อเมริกาอยู่ในสมัยแห่งการเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ ทรัมป์ทำให้มีความเป็นไปได้ในการเอานโยบายภายในประเทศและนโยบายการต่างประเทศของอเมริกันมาเขย่าอย่างแรงๆ สิ่งนี้มีความจำเป็นทีเดียวเนื่องจากนโยบายเหล่านี้อันที่จริงก็กำลังอยู่ในสภาพอันจำกัดตีบตันจนเกินไปแล้วจากแนวความคิดต่างๆ ที่ล้าสมัย อย่างไรก็ดี เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ถูกทรัมป์เอาใส่เข้ามาในอาการสุดรวดเร็วว่องไว, ฉับพลันทันที, และบางส่วนบางอย่างยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้น มันจึงกลายเป็นว่าเขากำลังนำเอาพวกส่วนประกอบสุดโต่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดความไม่แน่ไม่นอนขึ้นในทั่วโลกเข้ามา จนเร่งรัดให้เกิดการขบคิดพิจารณาทบทวนกันใหม่ในทุกหนทุกแห่ง

ทุกวันนี้ อเมริกาอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนกับพูดเอาไว้อย่างหนึ่งแต่แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและหันกลับมาพูดอีกอย่างหนึ่ง เป็นการสาธิตให้เห็นถึงภาวะที่ไม่สามารถพึ่งพาอาศัยอะไรได้ในระดับสูงลิ่ว ผลลัพธ์ก็คือ บางประเทศอาจจะพิจารณาเห็นว่าจีนน่าที่จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะถึงแม้แดนมังกรก็มีข้อผิดพลาดบกพร่องของตนเอง แต่ก็ยังคงแลดูน่าจะพึ่งพาอาศัยได้มากกว่า

พิจารณาในแนวทางที่ว่ามาเหล่านี้ เราจำเป็นต้องขบคิดเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ จำนวนมากที่จะปรากฏขึ้นมาในระยะไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ดังนี้

1. ทุกๆ ฝ่ายควรพยายามหาทางช่วยให้อเมริกาและทรัมป์ “สงบลงมา” สมัยการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ยังคงเหลือเวลาอีกประมาณ 40 เดือน ภายในเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบัน มีความเสี่ยงสูงที่โลกจะถูกทำให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพ และก่อให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลไปทั่ว ซึงผู้ชนะอาจจะมีเพียงรายเดียวนั่นคือรัสเซีย ที่เวลานี้กำลังกลายเป็นมหาอำนาจซึ่งเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม จีนไม่ได้มีผลประโยชน์อย่างแท้จริงถ้าหากเกิดความวุ่นวายอลหม่านอย่างกว้างขวาง ถึงแม้แดนมังกรอาจพึงพอใจกับการสิ้นสุดลงของยุคที่อเมริกันมีความสำคัญเหนือใครๆ ก็ตามที ทว่าความวุ่นวายโกลาหลยังคงก่อให้เกิดคำถามต่างๆ เกี่ยวกับการได้เปรียบดุลการค้าของพวกเขา ซึ่งอันที่จริงแล้วการได้เปรียบดังกล่าวนี้ ต้องพึ่งพาอาศัยสหรัฐฯและพวกประเทศตะวันตกทั้งหลายอย่างเต็มเหนี่ยว หากไม่มีความได้เปรียบดุลการค้าเช่นนี้ จีนก็จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ใหญ่โต ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะจีน แม้กระทั่งรัสเซียก็ต้องการหนทางที่จะถอนตัวออกมาจากสงครามซึ่งกำลังทำให้พวกเขาต้องหลั่งเลือดกันจนแทบจะเหือดแห้ง ทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในตอนที่พวกเขารุกรานอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1980

2. จุดที่ถือว่ามีความสำคัญขั้นเป็นตายอีกจุดหนึ่ง ได้แก่การที่อเมริกาต้องมีการกำหนดเส้นแบ่งแดนอย่างชัดเจนกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย มันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่จะต้องแสดงให้โลกเห็นว่า ทรัมป์นั้นไม่ได้เป็นหุ่นเชิดของปูติน ทั้งนี้ หากยังคงปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินต่อไปบนเส้นทางนี้ ความสงสัยข้องใจที่ว่าปูตินกำลังข่มขู่แบล็กเมลทรัมป์อย่างอยู่หมัด อาจนำไปสู่การที่ประเทศอื่นๆ นำตัวเองถอยห่างออกมาจากสหรัฐฯ พวกเขาอาจเลือกที่จะไปทำความตกลงโดยตรงกับปูตินเสียเลยมากกว่า การออกแรงบีบคั้นกดดันรัสเซียโดยตรงอย่างจริงจังจะจะ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อยุติความสงสัยข้องใจนี้ให้ได้ในท้ายที่สุด

3. ประการที่สามได้แก่การตระเตรียมอเมริกาให้พร้อมสำหรับการประชุมซัมมิตระหว่าง ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นมาในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ การพบปะเจรจากันระหว่างทรัมป์-ปูตินเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา คือความล้มเหลว โลกสามารถที่จะรับมือกับการประชุมซัมมิตครั้งสำคัญระดับความเป็นความตาย ซึ่งมีอันประสบเคราะห์กรรมไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรสักครั้งหนึ่ง แต่การประชุมซัมมิตที่ทรงความสำคัญยิ่งต้องล้มเหลวลงถึง 2 ครั้ง ย่อมจะสร้างความเสียหายขึ้นมาเป็นอย่างมาก

4. ประการที่ 4 เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอินเดีย ทั้งนี้ อินเดียไม่ได้จัดวางตัวเองว่าเข้ากลุ่มจับมือกับจีนหรือรัสเซียอย่างมั่นคงเหนียวแน่นแต่อย่างใด โดยที่พวกเขายังคงมีท่าทีระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย เดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตองค์การ SCO ที่จีน ภายหลังจากแวะเยือนญี่ปุ่น โดยระหว่างอยู่ที่นั่น เขายังได้พูดจาหารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่ออยู่ในจีน โมดี ยังได้พบปะกับทั้งประธานาธิบดีของอาร์เมเนียและของเบลารุส อาร์เมเนียนั้นในช่วงหลังๆ มีท่าทีเป็นปรปักษ์กับรัสเซีย ขณะที่เบลารุสอยู่ในอาการคล่อยๆ ถอยห่างออกมาจากแดนหมีขาว อินเดียอาจจะมีจุดมุ่งหมายที่จะวางตัวเองให้ออกห่างจากอเมริกา หลังจากรู้สึกว่าถูกวอชิงตันทรยศหักหลัง ทว่าแดนภารตะยังคงไม่ได้ถึงกับต้องการที่จะจับมือเป็นพันธมิตรกับรัสเซียหรือจีน

5. ส่วนประกอบประการที่ 5 ที่จะต้องเฝ้าจับตามองกันในระยะเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ได้แก่ บทบาทของญี่ปุ่น ปัจจุบันญี่ปุ่นมีฐานะเป้นหุ้นส่วนทางการเมืองรายหลักของอินเดีย ระหว่างนายกรัฐมนตรีของอินเดียและนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แข็งแกร่ง อินเดียกับญี่ปุ่นยังรักษาความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ จากการที่พวกนักชาตินิยมชาวอินดียมีแนวความคิดนิยมฝักใฝ่ญี่ปุ่นในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการคัดค้านต่อต้านการปกครองของเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร สำหรับในปัจจุบัน ญี่ปุ่นก็กำลังพยายามทำงานใน 2 ด้านที่ทางอินเดียให้ความสำคัญ ด้านหนึ่ง ได้แก่ “การหาทางฟื้นฟูระเบียบ” ในการเจรจาต่อรองกับคณะบริหารอเมริกันในทางใดทางหนึ่ง และด้านที่สอง การมีปฏิสัมพันธ์กับพวกประเทศเอเชียที่จับมือเป็นพันธมิตรกัน มีข้อน่าสังเตกว่า ก่อนออกเดินทางไปกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาหารือกับทรัมป์ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเช่นกัน การขาดหายไปของสหรัฐฯในเอเชีย จึงไม่ได้หมายความว่ามันเกิดช่องว่างขึ้นมา การปรากฏตัวของญี่ปุ่นกำลังเป็นการอุดส่วนหนึ่งของรูโหว่ที่อเมริกันสร้างขึ้นมานี้

6. ประการที่ 6 และก็เป็นประการที่ละเอียดอ่อนที่สุด เกี่ยวข้องกับบทบาทของจีน จีนเล็งเป้าไปที่โมดี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอินเดียได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนของเขา ขณะที่ความริเริ่มของฝ่ายจีนเองนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ การทำความเข้าใจกับความเป็นจริงระหว่างประเทศถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง จวบจนถึงเวลานี้ จีนอยู่ในอาการต้องพยายามดิ้นรนหนักทีเดียวในการพยายามตระหนักรับรู้ถึงเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลวัตของฝ่ายตะวันตกในช่วงโรคระบาดโควิด 19, ผลลัพธ์ต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้ของสงครามยูเครน, และความขัดแย้งต่างๆ ในตะวันออกกลาง จีนนั้นจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความรับรู้เข้าใจความเป็นจริงของตน ให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้แดนมังกรสามารถที่จะแสดงบทบาทเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โอกาสทองของความสัมพันธ์จีน-อินเดีย

จีนกำลังได้รับโอกาสทองที่หาได้ยากสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจกับอินเดีย --ชาติเพื่อนบ้านรายสำคัญที่สุดของพวกเขาขึ้นมาใหม่ และเป็นไปได้ว่ามันยังจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่กับประเทศอื่นๆ ในโลกอีกด้วย สัญญาณของการจับมือเป็นพันธมิตรกันระหว่างจีน-อินเดียมีหลักฐานว่าจะเกิดขึ้นใน 3 ด้านหลักๆ ที่สำคัญ

ด้านแรกและก็เป็นด้านที่มีความท้าทายมากที่สุดด้วย ก็คือ การค้า อินเดียมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างหลากหลาย ซึ่งรวมไปถึงยาเวชภัณฑ์, เครื่องอิเล็กทรอนิกส์, และพวกสินค้าไฮเอนด์ ไปยังประเทศจีน (อินเดียไม่ต้องการที่จะเป็นเพียงแหล่งส่งออกวัตถุดิบต่างๆ เท่านั้น) ในทางกลับกัน แดนภารตะวางแผนที่จะนำเข้าพวกเครื่องจักรกลคุณภาพสูงและอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ จากจีน

ความต้องการนำเข้าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหว เนื่องจากมันอาจจะทำให้อุตสาหกรรมของจีนอ่อนแอลง และลดทอนความได้เปรียบในการแข่งขันโดยรวมในระดับโลกของจีน อย่างไรก็ดี หากปักกิ่งยอมเปิดทางให้ทำเช่นนี้ มันก็อาจจะสามารถแก้ไขพวกประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดของแดนมังกรเองให้ผ่อนเพลาบรรเทาลงได้ เป็นต้น ภาวะการผลิตล้นเกิน, ตลาดภายในประเทศที่อยู่ในลักษณะปิดและมีการป้องกันไม่ให้ต่างชาติเข้าไปแข่งขัน

ส่วนประกอบอย่างที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับบรรดาชาติเพื่อนบ้านของอินเดีย โดยที่พวกเขาทั้งหลายล้วนแต่กำลังถูกเกี้ยวพาจากจีน ตรงนี้ คือเกมอันละเอียดอ่อนที่เพิ่งได้รับการเผยโฉม นั่นคือ จีนพยายามที่จะปิดล้อมอินเดียด้วยการใช้ประโยน์จากพวกเพื่อนบ้านของอินเดีย

ในทำนองเดียวกัน อินเดียก็ได้ตอบโต้ถ่วงดุลเรื่องนี้ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น, เวียดนาม, และเกาหลีใต้ ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับจีนและมีความกังวลเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ ของแดนมังกรกันทั้งนั้น มันจึงเป็นเกมของการที่ต่างฝ่ายต่างพยายามสร้างวงล้อมกันและกันซ้อนกันอยู่ และยังคงอยู่ในภาวะที่ไม่มีความเสถียร

ส่วนประกอบอย่างที่สาม ซึ่งในทางทฤษฎีเป็นสิ่งที่มองเห็นได้งายที่สุด ได้แก่ พื้นที่ชายแดนระหว่างอินเดียกับจีนที่ยังคงมีการพิพาทช่วงชิงกันอยู่ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายเพิ่งบรรลุกการตกลงกันครั้งใหม่ พวกเขาต่างฝ่ายต่างถอนทหารที่ตั้งประจันหน้ากันกลับออกมา กระนั้นความตึงเครียดก็ยังมีอยู่ เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา โดยที่ลงท้าย ความระแวงสงสัยซึ่งกันและกันก็กลับปรากฏออกมาให้เห็นใหม่ และจุดชนวนให้เกิดความตึงเครียดครั้งใหม่

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าครั้งนี้มันจะอยู่ได้นานขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ หรือไม่ พิจารณาโดยภาพรวมแล้ว ถ้าจีนบริหารจัดการสายสัมพันธ์ที่ตนมีอยู่กับอินเดียได้ดีในตลอดระยะเวลา 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า และกลายเป็นตลาดแห่งหนึ่งสำหรับสินค้าของอินเดีย มันก็สามารถช่วยลดปัญหาภาวะการมีความสามารถในการผลิตล้นเกินของจีนเองได้ เรื่องนี้ยังสามารถทำหน้าที่เป็นโมเดลหนึ่งสำหรับจีนในการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกอีกด้วย

ประเด็นปัญหาในที่นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดีย แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับจีนเอง สาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ จะต้องยอมเปิดทางให้พวกบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีความจำเป็นทั้งหลายล้มละลายไป ด้วยการทำเช่นนี้ก็จะเป็นการเปิดตลาดให้แก่พวกกิจการภายในประเทศและต่างประเทศอย่างแท้จริง มันย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ และจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดีย สามารถที่จะดำรงอยู่อย่างยืนยาวได้หรือไม่ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าจีนมีการเตรียมพร้อมแล้วอย่างแท้จริงสำหรับการแข่งขันในระดับโลก

ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นนักวิเคราะห์ชาวอิตาลี และเป็นคอมเมนเตเตอร์เรื่องการเมือง ซึ่งมีประสบการณ์ในจีนและเอเชียมากกว่า 30 ปี เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวประจำจีนและคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของสถาบันแอปเปีย (Appia Institute) --สมาคมไม่แสวงหากำไรซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการถกเถียงและสำรวจประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ

ข้อเขียนชิ้นนี้ตอนแรกเริ่มปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของสถาบันแอปเปีย https://www.appiainstitute.org/articles/china/parades-and-charades-at-tiananmen/
กำลังโหลดความคิดเห็น