รัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานพลังงานระยะไกลในรัสเซียให้แก่ยูเครน ขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะส่งมอบขีปนาวุธที่เคียฟอาจนำไปใช้ในปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวหรือไม่
รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ 2 คนซึ่งยังระบุด้วยว่า สหรัฐฯ ยังขอให้พันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ให้การสนับสนุนในลักษณะเดียวกัน โดยเป็นการยืนยันรายงานซึ่งถูกตีแผ่ครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ)
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งแรกที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนาม อนุมัติ นับตั้งแต่เริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซียมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อพยายามยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีระหว่างมอสโกกับยูเครน
วอชิงตันได้แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเคียฟมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ WSJ ระบุว่าหลังจากนี้ยูเครนจะสามารถโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของรัสเซีย เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ท่อส่งน้ำมัน และโรงไฟฟ้าต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการปิดกั้นแหล่งรายได้และน้ำมันของเครมลิน
ทรัมป์ ได้กดดันให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แลกกับข้อตกลงคว่ำบาตรมอสโกอย่างรุนแรงเพื่อพยายามระงับเงินทุนที่มอสโกใช้สนับสนุนการรุกรานยูเครน
ทั้งทำเนียบขาวและคณะผู้แทนยูเครนประจำสหประชาชาติยังไม่ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ ส่วนคณะผู้แทนรัสเซียประจำสหประชาชาติในนิวยอร์กปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังพิจารณาคำขอของยูเครนในการจัดหาขีปนาวุธโทมาฮอว์กซึ่งมีพิสัยการยิง 2,500 กิโลเมตร เพียงพสำหรับการยิงโจมตีกรุงมอสโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียในยุโรป
ยูเครนยังได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลของตนเองที่มีชื่อว่า "ฟลามิงโก" (Flamingo) ทว่ายังไม่เปิดเผยจำนวน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการผลิต
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ WSJ อ้างถึงระบุว่า การอนุมัติข่าวกรองเพิ่มเติมเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ ทรัมป์ จะโพสต์โซเชียลมีเดียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ายูเครนอาจสามารถยึดคืน "ดินแดนทั้งหมด" ที่รัสเซียยึดครองไว้ได้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนถ้อยคำหันไปเข้าข้างเคียฟอย่างเห็นได้ชัด
“หลังจากที่เห็นปัญหาเศรษฐกิจ (สงคราม) ที่กำลังเกิดขึ้นกับรัสเซีย ผมคิดว่ายูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป อยู่ในสถานะที่สามารถต่อสู้และเอาดินแดนยูเครนทั้งหมดกลับคืนสู่รูปแบบดั้งเดิมได้” ทรัมป์เขียนบน Truth Social เมื่อวันอังคารที่แล้ว (23 ก.ย.) ไม่นานหลังจากพบกับประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน
ที่มา: รอยเตอร์