ทรัมป์และนายใหญ่เพนตากอน เตรียมกล่าวปราศรัยกับนายทหารระดับท็อปหลายร้อยนายในวันอังคาร (30 ก.ย.) หลังจากแจ้งผู้บัญชาการทหารอเมริกันจากทั่วโลกแบบกะทันหันให้ไปประชุมที่ฐานทัพในเวอร์จิเนียครั้งนี้ โดยไม่ยอมแพร่งพรายรายละเอียดต่อสาธารณชน
การประชุมที่ฐานทัพนาวิกโยธินในควอนติโก ใกล้กรุงวอชิงตันที่กำหนดไว้ในเวลา 9.00 น. วันอังคารตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ตรงกับ 20.00 น.เวลาเมืองไทย) กระตุ้นการคาดเดาต่างๆ นานา เนื่องจากจะมีนายทหารระดับนายพลจำนวนมากไปรวมตัวกัน โดยที่หลายคนในจำนวนนี้ประจำการอยู่ในหลายสิบประเทศที่รวมถึงพื้นที่ซึ่งกำลังมีความขัดแย้ง เช่น ตะวันออกกลาง
แม้การประชุมระหว่างนายทหารระดับสูงกับผู้นำฝ่ายพลเรือนของสหรัฐฯไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ที่ไม่ปกติคือจำนวนผู้เข้าประชุม ความเร่งด่วน และการที่ไม่มีการแพร่งพรายรายละเอียดใดๆ
ความไม่ปกติเช่นนี้ยังเกิดขึ้นขณะที่อเมริกาอาจเข้าสู่ “ภาวะชัตดาวน์” นั่นคือหน่วยราชการบางส่วนต้องปิดทำการ หลังเวลาเที่ยงคืนวันอังคาร สืบเนื่องจากทรัมป์และพรรครีพับลิกันของเขา กับพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน ตกลงกันไม่ได้ในเรื่องผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว เพื่อไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้อยู่ในสภาพไม่มีเงินใช้จ่าย เพราะหมดปีงบประมาณ โดยยังไม่มีงบประมาณก้อนใหม่เข้ามารองรับแทนที่
นอกจากนั้น ความเคลื่อนไหวคราวนี้ยังเกิดขึ้น ขณะที่รัฐมนตรี พีท เฮกเซธ ของเพนตากอน ซึ่งทรัมป์เพิ่งสั่งเปลี่ยนชื่อจากกระทรวงกลาโหม มาเป็นกระทรวงสงคราม กำลังดำเนินการหลายอย่างที่ผิดธรรมดาโดยไม่มีการอธิบาย โดบรวมถึงการลดจำนวนนายทหารระดับนายพลเป็นจำนวนมาก และการสั่งปลดผู้นำระดับสูงของกองทัพหลายคน
ตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เอง ได้สั่งปลดนายทหารระดับสูงหลายคนแล้วเช่นกันนับจากเข้ารับตำแหน่งสมัยสองในเดือนมกราคม ซึ่งรวมถึง พลเอกชาร์ลส์ “ซีคิว” บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วม ที่เขาปลดออกในเดือนกุมภาพันธ์โดยไม่มีคำอธิบาย
นายทหารอาวุโสที่ถูกปลดในปีนี้ยังรวมถึงผู้บัญชาการกองทัพเรือ ผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่ง พวกผู้นำในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานข่าวกรองกลาโหม รองเสนาธิการกองทัพอากาศ พลเรือเอกผู้หนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และนักกฎหมายระดับสูงของกองทัพ 3 คน
ข่าวการประชุมที่จัดขึ้นปุบปับครั้งนี้เริ่มแพร่งพรายเมื่อวันพฤหัสฯ (25 ก.ย.) โดยฌอน พาร์เนลล์ โฆษกเพนตากอน ยืนยันข่าวนี้แต่ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนั้นยังดูเหมือนแม้แต่ทรัมป์ยังไม่รับรู้เรื่องนี้ ตอนที่ถูกผู้สื่อข่าวซักที่ห้องทำงานรูปไข่ในช่วงเย็นวันดังกล่าว และแก้เกี้ยวด้วยการตอบว่า จะไปประชุมด้วยถ้าเพนตากอนต้องการ
ต่อมาในวันอาทิตย์ (28 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนหนึ่งเผยว่า ทรัมป์จะไปปราศรัยในการประชุมของเพนตากอน และทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซี นิวส์ว่า ตนเองและเฮกเซธต้องการรู้ว่า คณะบริหารจัดการเกี่ยวกับกองทัพอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่อย่างไร
สัปดาห์ที่แล้ว รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ตำหนิว่า สื่อกำลังทำให้การประชุมของเพนตากอนเป็น “เรื่องใหญ่” พร้อมแจงว่า เป็นการประชุมปกติที่เหล่าทหารระดับสูงจะได้พูดคุยกับเฮกเซธ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง
ทว่า พลเรือเอกจูเซปเป คาโว ดาโกเน ของอิตาลี และประธานคณะกรรมาธิการทหารของนาโต ให้สัมภาษณ์เมื่อวันเสาร์ (24 ก.ย.) หลังประชุมนาโตที่ลัตเวียว่า การรวมพลของนายทหารใหญ่ของอเมริกาไม่ธรรมดา และตลอด 49 ปีที่เป็นทหารมาไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
การที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดกระตุ้นให้ผู้คนในวอชิงตันพากันคาดเดาเป้าหมายในการนัดพบดังกล่าว
ไบรอัน คลาร์ก นักวิชาการอาวุโสและผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษาแนวคิดและเทคโนโลยีกลาโหม แห่งสถาบันฮัดสัน อันเป็นหน่วยงานคลังสมองที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน คาดว่า โฟกัสของการประชุมจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายกลาโหมของคณะบริหารของทรัมป์ เนื่องจากมีการคาดกันว่า กองทัพสหรัฐฯ จะลดความสนใจในยุโรปและเอเชีย และหันไปให้ความสำคัญมากขึ้นกับซีกโลกเหนือ (Northern Hemisphere) แทน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจากนโยบายในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
เฮกเซธนั้นสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทมากขึ้นในการปกป้องชายแดนอเมริกา-เม็กซิโก และยังส่งกองทหารในสังกัดกองกำลังรักษาชาติ (เนชั่นแนลการ์ด) ซึ่งถือเป็นกำลังทหารประเภทหนึ่ง ไปยังเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งในสหรัฐฯ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามนโยบายของทรัมป์ ในการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมทั้งกองทัพสหรัฐฯยังปฏิบัติการโจมตีเรือในทะเลแคริบเบียน ที่คณะบริหารระบุว่า เป็นเรือของพวกลักลอบขนยาเสพติด
คลาร์กคาดว่า ทรัมป์และเฮกเซธพยายามกำหนดทิศทางและบริบทเพื่อหว่านล้อมบรรดานายพลว่า ยุทธศาสตร์ที่เคยใช้มาตอนนี้ยากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และต้องการให้นายพลเหล่านั้นเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ใหม่ของคณะบริหาร
เขาทิ้งท้ายว่า การนำทหารใหญ่เหล่านั้นที่มาจากเขตเวลาต่างๆ ทั่วโลกกลับไปประชุมในประเทศยังเป็นการสื่อว่า การประชุมดังกล่าวมีความสำคัญเพียงใด
(ที่มา: เอพี/เอเอฟพี)