รายงานจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่เผยแพร่วานนี้ (26 ก.ย.) ระบุมีธุรกิจมากกว่า 150 แห่ง รวมถึงแพลตฟอร์มจองที่พักชื่อดังอย่าง Airbnb, Booking.com, Expedia และ TripAdvisor ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจภายในนิคมชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งถือเป็นการตั้งถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายในมุมมองของยูเอ็น
รายชื่อภาคธุรกิจซึ่งได้รับการแก้ไขปรับปรุงครั้งก่อนหน้าในปี 2023 มีรายชื่อที่เพิ่มมาใหม่ 68 ราย ทำให้จำนวนทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 158 ราย ขณะที่รัฐบาลอิสราเอลโต้แย้งว่ารายงานนี้เป็นการใส่ร้ายป้ายสีบริษัทที่ดำเนินงานอย่างถูกกฎหมาย
บริษัทที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ได้แก่ Heidelberg Materials AG ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของเยอรมนี ซึ่งระบุว่าได้โต้แย้งการถูกอ้างชื่อในบัญชี UN แล้ว โดยบริษัทยืนยันกับรอยเตอร์ว่าไม่ได้ดำเนินธุรกิจในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองแล้ว
สำหรับบริษัทรายใหม่อื่นๆ ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในอิสราเอล
บริษัท 7 แห่งถูกถอดชื่อออกจากบัญชี UN รวมถึง Opodo บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ที่จดทะเบียนในอังกฤษ และ eDreams ODIGEO S.A. บริษัทตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในสเปน รายงานระบุว่ามีเหตุผลอันสมควรที่จะเชื่อว่า บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจซึ่งเป็นเหตุให้เคยถูกขึ้นบัญชีก่อนหน้านี้
ทุกบริษัทที่ระบุไว้ในรายชื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอย่างน้อย 1 อย่างจากทั้งหมด 10 อย่างที่ OHCHR ระบุว่าก่อให้เกิดข้อกังวลในด้านสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะ
บริษัทท่องเที่ยว Expedia ชี้แจงว่า "เราเชื่อมโยงนักเดินทางกับที่พักที่ดำเนินการโดยอิสระ รวมถึงที่พักบางแห่งในพื้นที่พิพาท ที่พักเหล่านี้มีป้ายกำกับอย่างชัดเจน สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ และผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนตามมาตรฐานของสหประชาชาติ"
แพลตฟอร์มที่พักอื่นๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูลของสหประชาชาติยังไม่ได้ตอบคำขอสัมภาษณ์ของรอยเตอร์
อิสราเอลอ้างความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และพระคัมภีร์ไบเบิลในการยึดครองเวสต์แบงก์ เพื่อโต้แย้งคำตัดสินของศาลยุติธรรมหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 2024 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ โดยอิสราเอลให้เหตุผลว่า ดินแดนนี้ไม่ได้ถูกยึดครอง "ในทางกฎหมาย" เนื่องจากเป็นพื้นที่พิพาท
“ฐานข้อมูลนี้ถือเป็นการขึ้นบัญชีดำภาคธุรกิจที่ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ เลย เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ห้ามการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ขัดแย้งทั่วไป” คณะผู้แทนอิสราเอลประจำนครเจนีวา ระบุในคำแถลง
ด้าน OHCHR เรียกร้องให้มีการเยียวยา
“ในกรณีที่ภาคธุรกิจพบว่าตนเองได้ก่อให้เกิด หรือมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน พวกเขาควรจัดหาหรือร่วมมือในการเยียวยาผ่านกระบวนการที่เหมาะสม” รายงานระบุ
บริษัทส่วนใหญ่ที่ระบุชื่อในฐานข้อมูลมีภูมิลำเนาอยู่ในอิสราเอล แต่ก็มีบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนในแคนาดา จีน และฝรั่งเศส รวมถึงบริษัทจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และประเทศอื่นๆ
การตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ ในนิคมชาวยิวเข้มข้นขึ้นนับตั้งแต่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารในกาซา และเพิ่มการโจมตีในเขตเวสต์แบงก์ขึ้นพร้อมกัน ซึ่งรัฐบาลอิสราเอลอ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธ ทว่าในความเป็นจริงกลับสร้างความเสียหายแก่พลเรือนไปด้วย
ที่มา: รอยเตอร์