จีนเป็นผู้นำหลายชาติในการประกาศแผนด้านสภาพอากาศฉบับใหม่เมื่อวันพุธ (24 ก.ย.) และยังกล่าวตำหนิแบบอ้อมๆ ต่อวาทกรรมต่อต้านปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่กล่าวโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวทีประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้า
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนได้กล่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศซึ่งจัดขึ้นโดย อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติว่า ภายในปี 2035 ประเทศจีนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 7-10% จากระดับสูงสุด
สี ยังกล่าวอีกว่า จีนวางแผนที่จะเพิ่มกำลังผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้น 6 เท่าจากระดับเมื่อปี 2020 ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลในการบริโภคพลังงานภายในประเทศให้มากกว่า 30%
การประกาศเป้าหมายนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จีนซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ที่สุดของโลกให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยมลพิษลง แทนที่จะจำกัดการเพิ่มเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเป้าหมายนี้จะยังต่ำกว่าที่ผู้สังเกตการณ์หลายคนคาดการณ์ไว้ก็ตาม
สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกดำเนินมาตรการด้านสภาพอากาศอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น และมีการอ้างถึงสหรัฐฯ ที่ละทิ้งเป้าหมายของข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อโดยตรงก็ตาม
“การเปลี่ยนแปลงสีเขียวและคาร์บอนต่ำเป็นกระแสนิยมในยุคสมัยของเรา แม้ว่าบางประเทศจะสวนทางกับกระแสนี้ แต่ประชาคมระหว่างประเทศควรเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง รักษาความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ ดำเนินการอย่างแน่วแน่ และพยายามอย่างเต็มที่” สี กล่าว
เมื่อวันอังคาร (23) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ใช้สุนทรพจน์ในเวทีสมัชชาใหญ่ยูเอ็นโจมตีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศว่าเป็น “เรื่องหลอกลวง” เรียกนักวิทยาศาสตร์ว่า “โง่” และยังวิจารณ์รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปและจีนที่ยอมรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
ทรัมป์ สั่งให้วอชิงตันถอนตัวเป็นครั้งที่ 2 จากข้อตกลงปารีสที่มีผลบังคับใช้มานาน 10 ปี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสผ่านแผนสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ณ ปัจจุบัน
เอียน เบรมเมอร์ นักรัฐศาสตร์ประจำศูนย์เบลเฟอร์ กล่าวว่า คำพูดปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ ทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดพลังงานหลังคาร์บอนถูก "จีน" ยึดครองไปแล้ว
เบรมเมอร์ ระบุด้วยว่า "ทรัมป์ ต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิล และสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐพลังงานน้ำมันที่ทรงอิทธิพลอย่างแท้จริง แต่การปล่อยให้จีนกลายเป็นรัฐพลังงานไฟฟ้าที่ทรงอิทธิพลเพียงหนึ่งเดียวของโลกนั้นตรงกันข้ามกับการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง... อย่างน้อยก็ถ้าคุณใส่ใจกับอนาคต"
ก่อนหน้านี้ ผู้สังเกตการณ์ต่างคาดหวังว่าจีนจะฉวยโอกาสจากการถอนตัวของสหรัฐฯ เป็นจังหวะสำคัญในการประกาศเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซอย่างน้อย 30% เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายเดิมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060
ที่มา: รอยเตอร์