xs
xsm
sm
md
lg

ฟิลิปปินส์อาการไม่ดี ท่าทางเหมือนเป็นรายต่อไปที่จะเกิดสถานการณ์รุนแรงระเบิดตูมตามขึ้นมาในเอเชีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจสัน กูเตียร์เรซ


ตำรวจฟิลิปปินส์ใช้โล่ป้องกันตัวเอง ข้างๆ ตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกจุดไฟเผา ระหว่างการปะทะกับพวกผู้ประท้วงต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ในกรุงมะนิลา เมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/philippines-looking-like-next-powder-keg-to-blow-in-asia/)

Philippines looking like next powder keg to blow in Asia
by Jason Gutierrez
21/09/2025

พวกผู้ประท้วงหลั่งไหลลงสู่ท้องถนนในกรุงมะนิลา เพื่อประณามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างหน้าไม่อายและอภิสิทธิ์ต่างๆ ของพวกชนชั้นนำ ดูราวกับเป็นเสียงก้องสะท้อนสถานการณ์ความไม่สงบซึ่งปะทุขึ้นมาเขย่าอินโดนีเซียและเนปาลก่อนหน้านี้

มะนิลา - ชาวฟิลิปปินส์ผู้เอือมระอาจนสุดทนจำนวนหลายหมื่นคน พากันออกมาชุมนุมตามจุดต่างๆ ในเมืองหลวงมะนิลาเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ย.) เพื่อแสดงการประท้วงเป็นเวลา 1 วัน ในการต่อต้านคัดค้านสิ่งที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างอื้อฉาวและใหญ่โตมโหฬาร โดยเกี่ยวข้องอยู่กับพวกโครงการด้านโครงสร้างฟื้นฐานทะแม่งๆ ไม่ชอบมาพากล ซึ่งเพิ่งนำไปสู่การเปลี่ยนตัวบุคคลระดับหัวๆ ในรัฐสภาฟิลิปปินส์มาหมาดๆ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้เดินหน้าต่อไปอีกเพื่อดำเนินการปฏิรูปสะสางกันครั้งใหญ่





บรรดาผู้ประท้วงที่ต่างอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยว จำนวนมากทีเดียวพากันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยแต่งกายใส่ชุดดำ พวกเขาส่วนหนึ่งยังจัดการเผาตู้คอนเทนเนอร์เหล็กซึ่งตำรวจนำมาใช้ปิดกั้นสะพานแห่งหนึ่งบนเส้นทางมุ่งไปสู่ทำเนียบประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ที่มีชื่อเรียกว่าทำเนียบมาลากันยัง (Malacañang Palace) เวลาเดียวกันนั้น พวกเขายังพากันขว้างขวดแก้วและก้อนหินเข้าใส่ตำรวจ

ผู้ประท้วงเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยเยาวชน เที่ยววิ่งหนีวิ่งไล่เล่นเอาเถิดเจ้าล่ออย่างแรงๆ กับตำรวจ ณ บริเวณใกล้ๆ กับทำเนียบประธานาธิบดีอยู่จนกระทั่งถึงเวลา 20.00 น. เมื่อถึงตอนสิ้นวัน ตำรวจแถลงว่าได้จับกุมผู้ต้องหาเอาไว้ 49 คน โดยเป็นผู้ใหญ่ 36 คนและผู้เยาว์อีก 13 คน จากการ “แสดงพฤติกรรมรุนแรง ที่รวมไปถึงการขว้างก้อนหินและพฤติการณ์ลอบวางเพลิง” สำหรับฝ่ายตำรวจนั้น ได้รับบาดเจ็บไปอย่างน้อยที่สุด 70 นาย
(หมายเหตุผู้แปล – ตามรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี พันตรีเฮเซล อาซิโล Major Hazel Asilo โฆษกของกองบัญชาการตำรวจเขตกรุงมะนิมา ได้แถลงตัวเลขอัปเดตในวันจันทร์ 22 ก.ย.ว่า ตำรวจได้จับกุมคุมขังผู้ต้องหาเอาไว้ 216 คนในจำนวนนี้อย่างน้อยที่สุด 88 คนเป็นผู้เยาว์ ทางด้าน อิสโก โมเรโน นายกเทศมนตรีนครมะนิลาเสริมว่า ผู้ถูกจับกุมคุมขังที่อายุน้อยที่สุดเป็นเด็กชายวัย 12 ปี ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.france24.com/en/live-news/20250922-arrest-tally-grows-after-philippine-anti-corruption-protest-clashes)

รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลโท โฮเซ มาเลนซิโอ นาร์ตาเตซ จูเนียร์ (Lieutenant General Jose Melencio Nartatez Jr) กล่าวว่า “ตำรวจหน่วยต่างๆ ของเราต้องปฏิบัติงานอย่างหนักเพื่อทำให้ทุกๆ คนมีความปลอดภัยในวันนี้ เวลาเดียวกันก็มีเหตุการณ์แยกต่างหากบางเหตุการณ์ รวมทั้งกรณีที่รถเทรเลอร์คันหนึ่งถูกจุดไฟเผาที่หัวมุมถนนอายาลา (Ayala) ตัดกับถนนโรมูอัลเดซ (Romualdez) โดยฝีมือผู้ประท้วงอันธพาลไม่กี่คน แต่การชุมนุมส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างสันติ โดยที่ผู้เข้าร่วมจำนวนมากให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่”

ประมาณกันว่ามีผู้ประท้วงมากกว่า 60,000 คนทีเดียว กระจายกันรวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในและรอบๆ มะนิลา ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50,000 นายถูกส่งออกมาประจำการทั่วประเทศ เฉพาะในเขตมหานครมะนิลา (Metro Manila) มีตำรวจประจำอยู่ 29,300 นาย โดยเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยบริหารจัดการความไม่สงบภาคพลเรือน (Civil Disturbance Management หรือ CDM) หน่วยต่างๆ

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาชาวฟิลิปปินส์ได้รับชมการประชุมหลายๆ นัดของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีการถ่ายทอดออกอากาศทางโทรทัศน์ทั่วประเทศ โดยในการประชุมเหล่านี้ พวกเจ้าหน้าที่จากกระทรวงโยธาธิการ (public works department) ถูกเรียกมาให้ปากคำเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรวมเป็นจำนวนหลายแสนล้านเปโซ (คำนวณเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะอยู่ราวๆ หลายหมื่นล้านดอลลาร์)ไปจัดทำพวกโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จริงๆ แล้วเป็นโครงการ “ผี”

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ซึ่งบิดาของเขาเป็นประธานาธิบดีที่ถูกโค่นล้มขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งโดยการก่อกบฎของ “พลังประชาชน” (people power) ในปี 1986 จนเป็นการปิดฉากการปกครองแบบเผด็จการยาวนาน 2 ทศวรรษของเขา กระทำสิ่งที่ดูย้อนแย้งเอามากๆ จากการเป็นผู้ที่นำเอาประเด็นทุจริตคอร์รัปชั่นฉาวโฉ่นี้เข้าสู่ความสนใจจับตามองของสาธารณชน หลังจากเขาไปกล่าวคำปราศรัยต่อรัฐสภาในเดือนกรกฎาคม ตามหลังเหตุน้ำท่วมในหลายๆ ส่วนของเมืองหลวงที่ร้ายแรงขนาดทำให้มีผู้คนล้มตาย

จากนั้น มาร์ติน โรมูอัลเดซ (Martin Romualdez) ลูกพี่ลูกน้องของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ก็ต้องหลุดออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังชื่อของเขาถูกระบุว่าพัวพันกับความไม่ชอบมาพากลนี้ด้วย เวลาเดียวกันยังมีวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 2 คนที่ถูกระบุชื่อว่าอยู่ในหมู่พวกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ขณะที่มองจากรูปโฉมภายนอก ตัวประธานาธิบดีมาร์กอสดูเหมือนยังคงอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องฉาวโฉ่เหล่านี้ กระนั่นยังคงมีคำถามข้องใจกันอยู่มากเกื่ยวกับแรงจูงใจของเขา ทั้งนี้ทั้งนั้น สืบเนื่องจากครอบครัวของเขาถูกพิจารณาว่าอยู่ในหมู่ครอบครัวที่ทุจริตคดโกงมากที่สุดในโลก โดยจากการประมาณการของหลายๆ ฝ่ายระบุว่าความมั่งคั่งร่ำรวยจากความไม่สุจริตของบิดาของเขานั้นมีมูลค่าสูงเกินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว

เสียงเรียกร้องให้ครอบครัวมาร์กอสส่งคืนเงินทองเหล่านี้ให้แก่ประเทศชาติ จวบจนถึงบัดนี้ยังคงไม่ได้รับการสนองตอบ และภายหลังที่พวกเขาเดินทางไปลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศเป็นช่วงสั้นๆ ระยะหนึ่ง เหล่าสมาชิกของตระกูลมาร์กอสก็หวนกลับบ้านเกิดและคืนสู่อำนาจได้สำเร็จอีกคำรบหนึ่ง ไลลา เดอ ลิมา (Leila de Lima) ที่เป็น ส.ส.ฝ่ายค้านให้ความเห็นว่า การที่มาร์กอสยินยอมปล่อยให้การประท้วงในช่วงระยะนี้เดินหน้าต่อไปได้ อาจเนื่องจากเขาประมาณการต่ำเกินไปเกี่ยวกับความขุ่นเคืองของสาธารณชนที่ยังคงเดือดพล่านในส่วนที่ลึกลงไปจากผิวนอก

“มันเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมของพวกเรา มันเป็นหน้าที่ของพวกเราในฐานะประชาชน เราจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เราจำเป็นต้องแสดงความโกรธเกรี้ยวของเราออกมา แสดงความเคียดแค้นของเราออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏให้เห็นในเวลานี้ล้วนแล้วแต่แสดงว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นคราวนี้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางมาก โดยที่ดิฉันเห็นว่ามันน่าจะเป็นการคอร์รัปชั่นฉาวโฉ่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเราทีเดียว” ส.ส. เดอ ลิมา บอกกับเอเชียไทมส์ ขณะพูดอยู่ต่อหน้าฝูงชนที่ชุมนุมกันอย่างสงบ ห่างออกจากพวกม็อบที่เข้าปะทะกับตำรวจ

เธอชี้ว่าฟิลิปปินส์ในขณะนี้ยังกำลังอยู่ในช่วงรำลึกวาระครบรอบ 53 ปีเมื่อตอนที่บิดาของประธานาธิบดีมาร์กอส และเจ้าของชื่อ เฟอร์ดินานด์ อี มาร์กอส คนแรก ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการเปิดฉากนำประเทศเข้าสู่ยุคเผด็จการ อันเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์นับพันนับหมื่นถูกฆ่าตายหรือสูญหายไปภายใต้ระบอบปกครองที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนของเขา โดยที่เวลานั้นประเทศชาติได้จ่อมจมลงสู่ความยากจน ขณะที่ครอบครัวมาร์กอสเที่ยวกอบโกยสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ตัวเอง

มาร์กอส ซีเนียร์ ถูกโค่นล้มในปี 1986 และหลบหนีไปลี้ภัยอยู่ในรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ที่ซึ่งเขาถึงแก่มรณกรรมในอีก 3 ปีต่อมา แต่ อีเมลดา ภรรยาผู้ขี้นชื่อเรื่องการใช้ชีวิตหรูหราฉูดฉาดบาดตา และลูกๆ 3 คน ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับฟิลิปปินส์ ในปี 2022 พวกเขากอบกู้อิทธิพลบารมีทางการเมืองซึ่งสูญเสียไปกลับคืนมาได้สำเร็จ โดยที่ตัว มาร์กอส จูเนียร์ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี ขณะที่พี่สาวของเขาคว้าเก้าอี้วุฒิสมาชิกของฟิลิปปินส์มาครองได้สำเร็จก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ นอกจากนี้บุตรชายของเขายังชนะได้เป็น ส.ส. เวลาเดียวกันนั้นเอง ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เข้าครองตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร

“มันคือความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น มันคือความถูกต้องที่พวกเรามาชุมนุมกันในวันนี้ และเปล่งเสียงของพวกเราออกมา แสดงความคิดเห็นของพวกเราออกมา แสดงความรู้สึกของพวกเราออกมา ทั้งความรู้สึก, ทั้งอารมณ์, และทั้งความโกรธแค้นในประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่นนี้” นี่เป็นส่วนหนึ่งในคำปราศรัยของ เดอ ลิมา ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรียุติธรรม และก็เป็นนักโทษการเมืองในยุคคณะบริหารของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่ปกครองฟิลิปปินส์ก่อนหน้ามาร์กอสจูเนียร์ โดยเธอเจอข้อหาเรื่องยาเสพติดที่เห็นกันว่าเป็นการกุขึ้นมาป้ายสีเธอ

“พวกเราไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเลย” เธอบอก พร้อมกับเสริมว่า การดำเนินการสอบสวน “จะต้องมีผลลัพธ์ออกมาเป็นการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม” และนำไปสู่การนำเอาพวกเจ้าหน้าที่ถูกตัดสินว่าทุจริต มาขังคุกและมายืนยันว่าพวกเขากระทำความผิดจริง “ถ้าหากไม่ทำแบบนี้แล้ว มันก็จะเป็นสิ่งที่ประชาชนยอมรับไม่ได้”

เธอกล่าวเตือนด้วยว่า หากประเด็นนี้ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว ความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชนก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นและกระทั่งนำไปสู่การประท้วงระดับใหญ่โตมโหฬารซึ่งสั่นคลอนเสถียรภาพ –ทำนองเดียวกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในอินโดนีเซียและในเนปาล

ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ผ่านมา มาร์กอสจูเนียร์ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเซอร์ไพรซ์จากสไตล์การบริหารปกครองของเขา และจากการที่เขายุติการจับมือเป็นพันธมิตรกับครอบครัวดูเตอร์เต ทั้งนี้พวกพันธมิตรของเขาในรัฐสภาได้ผลักดันให้มีการดำเนินการสอบสวนเพื่อถอดถอนรองประธานาธิบดีซารา ดูเตอร์เต (Sara Duterte) ที่เป็นผู้ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างสูง ให้ออกจากตำแหน่งในข้อหาทุจริต รวมทั้งยังดำเนินการส่งตัวบิดาของเธอ ซึ่งก็คือ อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ไปให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ในกรุงเฮก, เนเธอร์แลนด์ เพื่อดำเนินคดีในช้อหาทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นเรือนพันเรือนหมื่น ภายใต้การรณรงค์ทำสงครามปราบปรามยาเสพติดในสมัยการปกครองของเขา

นอกจากนั้นแล้ว มาร์กอส จูเนียร์ ยังดำเนินการซ่อมแซมสายสัมพันธ์ที่ฟิลิปปินส์มีอยู่กับสหรัฐฯ หลังจากที่แปดเปื้อนเสื่อมโทรมไปเยอะในสมัยดูเตอร์เต ผู้เอนเอียงไปทางจีนมากกว่า และมาร์กอสจูเนียร์ยังไม่รั้งรอที่จะฉวยคว้าอาศัยความช่วยเหลือจากประชาคมโลกตะวันตกในการต่อต้านคัดค้านปักกิ่งในประเด็นเรื่องทะเลจีนใต้

เทดดี้ คาซิโน (Teddy Casino) นักเคลื่อนไหวที่มีประสบการณ์สูง เน้นย้ำว่าครอบครัวมาร์กอสสมควรที่จะทำตัวให้ใสสะอาดและส่งคืนความมั่งคั่งร่ำรวยที่ปล้นชิงมาจากประเทศชาติ ไม่เช่นนั้นแล้ว เรื่องที่มาร์กอสจูเนียร์ กล่าวด้วยท่าทีโกรธแค้นต่อเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น จนแล้วจนรอดก็ยังคงเป็นการแสดงที่แลดูกลวงๆ อยู่นั่นเอง

“เขาควรที่จะโชว์ให้เราเห็นว่าเขามีความหนักแน่นจริงจังอย่างแท้จริง ในการรีแบรนด์ตัวเขาเองเสียใหม่ในครั้งนี้ ด้วยการประกาศตัวเป็นผู้ต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น” คาซิโน กล่าวกับเอเชียไทมส์ “แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจึงยังไม่สามารถตัดสินอะไรลงไปได้ โดยจะต้องคอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมของเขากันต่อไปอีก

เวลาเดียวกัน ปรากฏว่าพวกพันธมิตรของเขากำลังใช้กรณีอื้อฉาวเรื่องคอร์รัปชั่นนี้ไปในการโยนโคลนสกปรกเข้าใส่กันและกัน ด้วยเหตุนี้ คาซิโนจึงทำนายว่า “ในตอนท้ายที่สุดของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันก็จะมีแต่ปลาตัวเล็กๆ เท่านั้นที่จะถูกจับตัวเอามาให้ถูกไล่เรียงจนต้องยอมรับผิด”

สัปดาห์ที่แล้ว มาร์กอสจูเนียร์ แถลงว่าเขาจะไม่สกัดขัดขวางการประท้วงตามท้องถนนที่กำลังจะเกิดขึ้น ตราบเท่าที่การชุมนุมนี้ยังคงดำเนินไปอย่างสันติ

“พวกคุณต้องจำเอาไว้ให้ดีนะ ผมนี่แหละเป็นคนเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด และมันจึงเป็นความสนใจของผมที่เราจะต้องค้นหาจนกระทั่งเจอหนทางแก้ไขปัญหาซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาที่เลวร้ายมากๆ แล้วเนื่องจากเรื่องนี้ได้ถูกเปิดโปงออกมาทั้งหมดแล้ว ครับ ที่จริงมันก็มีคนจำนวนมากรู้กันอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้มันกำลังถูกเปิดโปงให้สาธารณชนวงกว้างได้รับทราบกันถ้วนหน้า” มาร์กอส บอก

“พวกคุณจะประณามพวกเขาที่ออกมาชุมนุมบนท้องถนนหรือ? ถ้าตัวผมไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ผมก็อาจจะออกมายังท้องถนนร่วมกับพวกเขาก็ได้” เขากล่าว

มาร์กอสยังประกาศจัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งที่มีสมาชิกรวม 3 คนเพื่อให้ทำหน้าที่ดำเนินการสอบสวน ซึ่งจะกระทำเคียงคู่ไปกับการสอบสวนที่กำลังดำเนินการโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้คณะกรรมการชุดที่เขาแต่งตั้งขึ้นนี้จะได้รับอำนาจในการเรียกพวกเจ้าหน้าที่รัฐมาให้ปากคำ ตลอดจนเสนอแนะเพื่อตั้งข้อกล่าวหาต่อผู้ต้องสงสัยกระทำความผิด

ทั้งนี้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มาร์กอสเป็นผู้เปิดเผยผลการสอบบัญชีภายในของบรรดาโครงการควบคุมน้ำท่วมทั้งหลาย รายละเอียดการตรวจสอบนี้ได้เปิดโปงให้เห็นความผิดปกติอย่างเป็นแบบแผนคล้ายๆ กันเป็นจำนวนมาก จนเร่งรัดให้พวกกลุ่มธุรกิจและกลุ่มประชาสังคมทั้งหลายเรียกร้องให้มีการลงมือแก้ไขปราบปราม เนื่องจากเป็นเดือดเป็นแค้นกับสิ่งที่พวกเขาบรรยายว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร

เรื่องหลักๆ ที่การสอบบัญชีภายในตรวจพบ ก็คือ ทั้งๆ ที่มีการใช้จ่ายงบประมาณไปเพื่อดำเนินการเรื่องการควบคุมน้ำท่วมมาตั้งแต่ปี 2022 คิดเป็นตัวเงินสูงถึงราวๆ 545,000 ล้านเปโซ (ราว 9.540 ล้านดอลลาร์) แต่โครงการจำนวนมากเป็นพันเป็นหมื่นโครงการทีเดียว ถ้าหากไม่อยู่ในสภาพที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน, ก็มีการเก็บบันทึกข้อมูลหลักฐานต่างๆ อย่างมั่วซั่ว, หรือกระทั่งเป็นโครงการ “ผี” ที่จริงๆ แล้วไม่มีการดำเนินการใดๆ

มีโครงการบางโครงการซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน ทว่ากลับบันทึกค่าใช้จ่ายรายการต่างๆ แทบจะเหมือนกัน และในจำนวนผู้รับเหมาราวๆ 2,000 รายที่ผ่านการอนุมัติรับรองให้สามารถว่าจ้างมาทำโครงการเหล่านี้ได้ ปรากฏว่ามีขาใหญ่อยู่ 15 รายซึ่งได้เป็นผู้ทำโครงการที่ใช้งบประมาณราวๆ 20% ของยอดงบประมาณทั้งหมด

แผนการริเริ่มเพื่อควบคุมน้ำท่วมเหล่านี้จำนวนมากเลย ถูกประทับตราว่าเป็น “โครงการผี” ซึ่งเงินงบประมาณที่ใช้ไปได้ถูกนำมาแบ่งกันในระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ทุจริตทั้งหลาย โดยที่มีการกล่าวหากันด้วยว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้จัดสรรเงินบางส่วนออกมาเพื่อเป็นเงินสินบนส่งให้แก่พวกนักการเมืองบางราย

ความฉาวโฉ่ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดังสนั่นของโครงการเหล่านี้ ได้นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของรัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการแล้ว และผู้ที่ขึ้นรับตำแหน่งต่อจากเขาก็ได้สั่งระงับการประมูลจัดทำโครงการควบคุมน้ำท่วมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากระดับท้องถิ่นทั้งหมดไปแล้ว รวมทั้งยังออกคำสั่งด้วยความสุภาพให้พวกเจ้าหน้าที่โยธาธิการทั้งหมดยื่นใบลาออก อีกทั้งประกาศลั่นว่าพวกผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องกับพวกโครงการที่เกิดการทุจริต จะถูกขึ้นบัญชีดำอย่างเป็นการถาวร

เจสัน กูเตียร์เรซ เคยเป็นหัวหน้าข่าวด้านฟิลิปปินส์อยู่ที่ เบนาร์นิวส์ (BenarNews) ผู้ให้บริการข่าวออนไลน์ที่อยู่ในเครือของวิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia หรือ RFA) องค์การข่าวที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน และได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมุ่งทำข่าวเกี่ยวกับประเทศในภูมิภาคแถบนี้ที่มีการรายงานข่าวกันน้อยกว่าที่ควร เขาเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศประสบการณ์สูง โดยเคยทำงานให้กับทั้งนิวยอร์กไทมส์ และสำนักข่าวอาจองซ์ ฟรองซ์ เปรส (Agence France-Presse หรือ AFP)
กำลังโหลดความคิดเห็น