xs
xsm
sm
md
lg

“อินเดีย” ขอคืน “อัญมณีพระพุทธเจ้า” จาก “โซธบีส์” สำเร็จ หลังหายไป 127 ปี ก่อนส่งให้ "ปูติน" ยืมไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์รัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – อินเดียประสบความสำเร็จกดดันสถาบันการประมูลโซธบีส์ชื่อดังในฮ่องกงโดยชี้ถึงการปล้นในยุคยุโรปล่าอาณานิคมส่งผลทำให้เมื่อสิ้นกรกฎาคมล่าสุดได้รับชุด "อัญมณีพระพุทธเจ้า" หรือ "อัญมณีปิปราห์วา" (The Piprahwa Gems)เกี่ยวข้องกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ากลับหลังหายไป 127 ปีแต่ทว่ายังไม่ครบ 2 เดือนส่งให้รัสเซียยืมทันทีอ้างจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซียท่ามกลางการงัดข้อระหว่างทรัมป์-โมดีกระทบไอทีอินเดียโดนค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สุดโหดราคาแพง 100,000 ดอลลาร์/คน

เดลีเทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันนี้(22 ก.ย)ว่า ชุดอัญมณีพระพุทธเจ้าหรือ อัญมณีปิปราห์วา(The Piprahwa Gems) ที่เชื่อกันว่าเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์และมีพระบรมสาริกธาตุของพระพุทธเจ้าถูกส่งคืนให้กับอินเดียเมื่อราวปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยสถาบันการประมูลโซธบีส์ชื่อดังในฮ่องกงหลังนิวเดลีกดดันทุกวิถีทางไม่ให้มีการเปิดการประมูล

เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 2 พ.คว่าชุดอัญมณีพระพุทธเจ้าที่มีจำนวนราว 300 ชิ้นนี้ในเบื้องต้นมีการคาดจะเปิดประมูลที่ 9.7 ล้านปอนด์หรือราว 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงโดยทายาทของวิศวกรอังกฤษ William Claxton Peppé ที่เป็นคนขุดค้นพบที่ทางภาคเหนือของอินเดียเมื่อปี 1898 ประกอบไปด้วย อเมทิสต์ คริสตัล เปลือกหอย ไข่มุก โกเมน และทองคำ

ซึ่งอัญมณีเหล่านี้แต่เดิมถูกฝังในสถูปที่ปิปราห์วา(Piprahwa) ปัจจุบันคือรัฐอุตตรประเทศ เมื่อราว 240 BC– 200 BC เมื่อครั้งที่อัญมณีเหล่านี้ถูกฝังปะปนกับบางส่วนของพระบรมสาริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปเมื่อราว 480 BC

ซึ่งกษัตริย์อังกฤษในเวลานั้นได้ทรงวินิจฉัยว่า การค้นพบกรุสมบัติสถูปปิปราห์วานี้อยู่ใต้กฎหมายขุมทรัพย์อินเดีย Indian Treasure Trove Act ปี 1878

เดลีเทเลกราฟรายงานว่าส่วนใหญ่ของอัญมณีทั้งหมด 1,800 ชิ้นถูกส่งเข้าพิพิธภัณฑ์อินเดียในกัลกัตตา ขณะที่พระอังคารและพระบรมสารีริกธาตุนั้นได้มีการขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรสยามที่ทรงนับถือศาสนาพุทธ

แต่นายช่างอังกฤษผิวขาวผู้ค้นพบที่เกิดในอินเดียได้รับอนุญาตจากผู้ตรวจการอังกฤษให้สามารถเก็บอัญมณีเหล่านั้นไว้ 300 ชิ้นหรือราว 1 ใน 5 ของทั้งหมดที่บางส่วนมีลักษณะซ้ำและชุดอัญมณีพระพุทธเจ้าถูกส่งต่อให้กับทายาทจากรุ่นต่อรุ่นของตระกูลในฐานะสมบัติสำคัญก่อนที่ทายาทรุ่นปัจจุบันจะตัดสินใจนำออกประมูลเพื่อส่งต่อให้กับผู้ที่เหมาะสมมากที่สุดในการเก็บรักษาครอบครองแต่โดนนิวเดลีประณามจนนำมาสู่การยุติการประมูลและคืนให้กับนิวเดลีในที่สุด

เดลีเทเลกราฟรายงานว่า ซึ่งในวันที่ 30 ก.ค นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้ออกมาแสดงความภาคภูมิใจต่อการได้กลับคืนสมบัติของชาติสู่อ้อมอกอินเดียหลังผ่านไปนานถึง 127 ปี

“เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการประมูลระดับระหว่างประเทศเมื่อต้นปีนี้พวกเราทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าทั้งหมดนี้จะกลับบ้าน ผมรู้สึกซาบซึ้งในทุกคนที่เกี่ยวข้องในความพยายามนี้” นายกรัฐมนตรีโมดีแถลงบนแพลตฟอร์ม X

ซึ่งในเวลานั้นสถาบันการประมูลโซธบีส์ได้ออกมาเปิดเผยว่า มีความยินดีในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือหลังจากมีการเจรจาหลายเดือนระหว่างเจ้าของคนใหม่ Godrej Industries Group กลุ่มธุรกิจสัญชาติอินเดียและรัฐบาลนิวเดลี

แต่สมบัติชาติศักดิ์สิทธิ์กลับอยู่ในอินเดียได้เพียงไม่ถึง 2 เดือนเพราะเดลีเทเลกราฟชี้ว่า สัปดาห์ที่แล้วสำนักงานนายกรัฐมนตรีอินเดียประกาศว่า Keshav Prasad Maurya รองมุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศจะเป็นผู้นำคณะอัญเชิญชุดอัญมณีพระพุทธเจ้าไปที่ “รัสเซีย” เพื่อให้ยืมจัดแสดง ซึ่งรัฐอุตตรประเทศเป็นรัฐที่โมดีเคยดำรงตำแหน่งมุขมนตรีมาก่อน

การจัดแสดงที่รัสเซียี้จะเป็นการเปิดตัว “อัญมณีปิปราห์วา” พร้อมกับสารคดีสั้นเกี่ยวกับความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่จะเกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์รัสเซียในเมือง Kalmykia ที่มีชาวรัสเซียนับถือศาสนาพุทธอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

Maurya เสริมว่าจะเป็นการเสริมภาพลักษณ์อินเดียให้แข็งแกร่งในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกับรัสเซีย เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อินเดียกำลังงัดข้อกับสหรัฐฯและล่าสุดแดนภารตะประสบปัญหาจากคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B แรงงานทักษะสูงไปที่ 100,000 ดอลลาร์/คน โดยอ้างว่าเพื่อสงวนงานรายได้งามให้กับคนอเมริกัน

อ้างอิงจาก CNN ของสหรัฐฯรายงานวันจันทร์(22)พบว่า อินเดียส่งแรงงานทักษะสูงได้แก่ วิศวกร เจ้าหน้าที่ไอที มาทำงานในสหรัฐฯให้กับบรรดาบริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ทั้ง กูเกิล ไมโครซอฟท์ เมตา แอปเปิล มากที่สุดกว่าชาติใดในโลก

อ้างอิงจากสถิติของ US citizenship And Immigration services หรือ USCIS ระหว่างต.ค ปี 2022 - ต.ค ปี 2023 พบว่าอินเดียเป็นอันดับ 1 ในตารางที่ได้รับการอนุมุติวีซ่า H-1B ถึง 279,386 คน อันดับ 2 จีนอยู่ที่ 45,344 คน และฟิลิปปินส์ แคนาดา และเกาหลีใต้ตามมาในระดับหลักพันหลังจากนั้น

CNN วิเคราะห์ว่า การประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าที่เมื่อไม่นานมานี้ถือเป็นการที่รัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ใช้ช่องทางแรงกดดันเศรษฐกิจเพื่อบีบอินเดียตามหลังการขึ้นอัตราภาษีอินเดีย 50% บีบไม่ให้อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย


กำลังโหลดความคิดเห็น