xs
xsm
sm
md
lg

บริษัทเทคสะดุ้ง! 'ทรัมป์' สั่งเก็บค่าธรรมเนียม $100,000 ต่อปี 'วีซ่า H-1B' กระทบการจ้างแรงงานต่างชาติทักษะสูง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ย.) ว่าจะขอให้บริษัทต่างๆ จ่ายเค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับวีซ่าแรงงาน H-1B ในความเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคเทคโนโลยีซึ่งยังต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากอินเดียและจีน

ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือน ม.ค. ทรัมป์ได้เริ่มปราบปรามคนเข้าเมืองอย่างกว้างขวาง รวมถึงจำกัดการเข้าเมืองตามกฎหมายบางรูปแบบ และการปฏิรูปวีซ่า H-1B ก็ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของรัฐบาลที่จะปรับปรุงเงื่อนไขวีซ่าสำหรับการจ้างงานชั่วคราว

“หากคุณจะฝึกอบรมใครสักคน คุณก็ต้องฝึกอบรมบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งทั่วประเทศของเรา ฝึกอบรมชาวอเมริกัน หยุดนำคนเข้ามาแย่งงานของเรา” โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าว

ท่าทีคุกคามของ ทรัมป์ ต่อโครงการวีซ่า H-1B กลายเป็นประเด็นร้อนสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งได้บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับแคมเปญหาเสียงของเขา

หลังมีการประกาศค่าธรรมเนียม บริษัทชั้นนำอย่าง Microsoft และ JPMorgan ได้แนะนำให้พนักงานที่ถือวีซ่า H-1B อยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป ตามข้อมูลจากอีเมลภายในที่รอยเตอร์ได้ตรวจสอบมา

บริษัทเหล่านี้ยังแนะนำให้พนักงานที่ถือวีซ่า H-1B ที่อยู่นอกสหรัฐฯ เดินทางกลับเข้ามาก่อนเที่ยงคืนของวันเสาร์ (20) ซึ่งเป็นเวลาที่โครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่จะมีผลบังคับใช้

“ผู้ถือวีซ่า H-1B ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ควรอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไป และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศจนกว่ารัฐบาลจะออกคำแนะนำด้านการเดินทางที่ชัดเจน” Ogletree Deakins บริษัทที่ดำเนินการยื่นขอวีซ่าให้กับธนาคาร JP Morgan ระบุในอีเมลที่ส่งถึงพนักงานของธนาคาร

พวกนักวิจารณ์ ซึ่งรวมถึงพนักงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมากในสหรัฐฯ โต้แย้งว่า โครงการวีซ่า H-1B เปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ลดค่าจ้างและกีดกันชาวอเมริกันที่สามารถทำงานได้ ขณะที่ฝ่ายผู้สนับสนุนโครงการนี้ รวมถึง อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาและอดีตพันธมิตรของทรัมป์ กล่าวว่าโครงการนี้ดึงดูดแรงงานที่มีทักษะสูงซึ่งจำเป็นต่อการเติมเต็มช่องว่างด้านความสามารถ และรักษาศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทต่างๆ

มัสก์ ซึ่งเป็นพลเมืองอเมริกันแปลงสัญชาติที่เกิดในแอฟริกาใต้ ก็ถือวีซ่า H-1B เช่นกัน

คำสั่งฝ่ายบริหารที่ ทรัมป์ ลงนามเมื่อวันศุกร์ (19) ระบุว่า นายจ้างบางรายใช้ประโยชน์จากโครงการนี้เพื่อกดค่าจ้าง ซึ่งทำให้แรงงานสหรัฐฯ เสียเปรียบ 

จำนวนแรงงานต่างชาติในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าระหว่างปี 2000 ถึง 2019 เป็นเกือบ 2.5 ล้านคน แม้ว่าการจ้างงาน STEM โดยรวมจะเพิ่มขึ้นเพียง 44.5% ในช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม

การกำหนดค่าธรรมเนียมใหม่ "ทำให้ขาดแรงจูงใจในการดึงดูดผู้มีความสามารถที่ชาญฉลาดที่สุดในโลกมายังสหรัฐฯ" ดีดี ดาส หุ้นส่วนของบริษัทเงินทุนร่วมลงทุน Menlo Ventures กล่าวผ่าน X 

"หากสหรัฐฯ ไม่สามารถดึงดูดผู้มีความสามารถที่สุดได้ ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะลดน้อยลงอย่างมาก" เขาเตือน

มาตรการนี้อาจเพิ่มต้นทุนหลายล้านดอลลาร์สำหรับบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กและกลุ่มสตาร์ทอัพได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ

ลุตนิก กล่าวว่า วีซ่าดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่าย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับระยะเวลา 3 ปี แต่รายละเอียดต่างๆ "ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา"

นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า ค่าธรรมเนียมนี้อาจบังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องย้ายงานมูลค่าสูงบางส่วนไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อสถานะของอเมริกาในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่มีเดิมพันสูงกับจีน

“ในระยะสั้นวอชิงตันอาจได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่ในระยะยาวสหรัฐฯ เสี่ยงที่จะสูญเสียความได้เปรียบด้านนวัตกรรม แลกกับนโยบายกีดกันทางการค้าที่ขาดวิสัยทัศน์” เจเรมี โกลด์แมน นักวิเคราะห์จาก eMarketer กล่าว

อินเดียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากวีซ่า H-1B มากที่สุดเมื่อปีที่แล้ว โดยคิดเป็น 71% ของผู้ได้รับอนุมัติ ขณะที่จีนตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 11.7% ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ 

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แอมะซอน และ AWS ซึ่งเป็นหน่วยงานคลาวด์คอมพิวติงได้รับอนุมัติวีซ่า H-1B มากกว่า 12,000 ฉบับ ขณะที่ Microsoft และ Meta Platforms ได้รับอนุมัติวีซ่า H-1B มากกว่า 5,000 ฉบับ

ลุตนิก กล่าวเมื่อวันศุกร์ (19) ว่า บริษัทใหญ่ๆ ทั้งหมด "พร้อมใจกัน" ที่จะมอบเงิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับวีซ่า H-1B

"เราได้พูดคุยกับพวกเขาแล้ว" เขากล่าว

บริษัทเทคโนโลยี ธนาคาร และที่ปรึกษาขนาดใหญ่หลายแห่งของสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น หรือไม่ได้ตอบกลับคำขอความคิดเห็นในทันที ขณะที่สถานทูตอินเดียประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และสถานกงสุลใหญ่จีนประจำนครนิวยอร์ก ก็ยังไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นของรอยเตอร์เช่นกัน

ที่มา: รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น