ซาอุดีอาระเบียและปากีสถานลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยการป้องกันร่วม (mutual defense pact) เมื่อวันพุธ (17 ก.ย.) ในความเคลื่อนไหวที่เป็นการกระชับความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่มีมานานหลายสิบปี ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เพิ่มสูงขึ้น
การลงนามสนธิสัญญาป้องกันร่วมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลโจมตีกาตาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ร้ายแรงที่ทำให้บรรดารัฐริมอ่าวอาหรับเริ่มไม่เชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ ยังแสดงบทบาทในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงให้กับพวกเขาต่อไปได้หรือไม่
“ข้อตกลงนี้เป็นผลลัพธ์จากการเจรจาหารือนานหลายปี ไม่ใช่การตอบสนองต่อประเทศหนึ่งใด หรือสถานการณ์ใดๆ โดยเฉพาะ แต่เป็นการยกระดับความร่วมมือที่ลึกซึ้งและยาวนานระหว่างเราทั้ง 2 ประเทศสู่ความเป็นสถาบัน” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุดีอาระเบียให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ หลังถูกถามเรื่องของเงื่อนเวลาในการลงนามข้อตกลง
การที่อิสราเอลพยายามลอบสังหารแกนนำฝ่ายการเมืองของฮามาสด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศกลางกรุงโดฮา ทั้งที่อยู่ระหว่างหารือข้อเสนอหยุดยิงที่กาตาร์เองรับบทคนกลาง ทำให้บรรดารัฐอาหรับไม่พอใจอย่างมาก
สนธิสัญญาป้องกันร่วมระหว่างซาอุดีอาระเบียกับปากีสถานอาจเป็นจุดพลิกผันเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอันซับซ้อนนี้ เพราะในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ พวกผู้ปกครองรัฐริมอ่าวอาหรับต่างพยายามสร้างสมดุลในการคบค้าทั้งอิหร่านและอิสราเอลเพื่อที่จะบรรเทาปัญหาความมั่นคงที่มีมายาวนาน แต่สงครามในกาซาได้ดึงตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคเข้าสู่ความระส่ำระสาย และในรอบปีที่ผ่านมากาตาร์ต้องเผชิญการโจมตีโดยตรงมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกจากอิหร่าน และล่าสุดก็คืออิสราเอล
ข้อตกลงกับซาอุดีอาระเบียยังมีขึ้นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่ปากีสถานเปิดฉากสู้รบระยะสั้นๆ กับอินเดียเมื่อเดือน พ.ค.
รันธีร์ ชัยสวาล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย โพสต์ข้อความผ่าน X วันนี้ (18 ก.ย.) ว่า อินเดียตระหนักถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น และจะศึกษาผลกระทบที่จะเกิดต่อความมั่นคงของนิวเดลี ตลอดจนเสถียรภาพในภูมิภาค
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของริยาดผู้ไม่ประสงค์ออกนามยอมรับในความจำเป็นที่จะต้องสร้างสมดุลในความสัมพันธ์กับอินเดียซึ่งเป็นอริกับปากีสถาน และเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์เช่นกัน
“ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับอินเดียแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา เราจะยังคงเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนี้ต่อไป และมีส่วนสนับสนุนสันติภาพในภูมิภาคในแนวทางที่เราทำได้” เจ้าหน้าที่ซาอุฯ กล่าว
สำหรับคำถามที่ว่า สนธิสัญญานี้จะทำให้ปากีสถานมีพันธกรณีที่จะต้องปกป้องซาอุดีอาระเบียด้วย “ร่มนิวเคลียร์” (nuclear umbrella) หรือไม่? เจ้าหน้าที่ริยาดตอบว่า “นี่คือข้อตกลงป้องกันร่วมที่ครอบคลุม และหมายรวมถึงช่องทางทางทหารทุกรูปแบบ”
สถานีโทรทัศน์ปากีสถานได้เผยแพร่ภาพนายกรัฐมนตรี เชห์บาซ ชารีฟ และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย โอบกอดกันและลงนามในข้อตกลง โดยมี จอมพล อาซิม มูนีร์ ผู้บัญชาการกองทัพปากีสถาน ซึ่งถูกมองกันว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศ ร่วมอยู่ในพิธีด้วย
“ข้อตกลงฉบับนี้ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ทั้ง 2 ชาติมีร่วมกันในการที่จะเสริมสร้างความมั่นคงของตนเอง และนำมาซึ่งความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคและทั่วโลก มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแง่มุมด้านกลาโหมระหว่างทั้ง 2 ชาติ และยกระดับการป้องปรามร่วมต่อการรุกรานใดๆ ข้อตกลงยังระบุเอาไว้ว่า การรุกรานต่อประเทศหนึ่งใดจะเทียบเท่ากับรุกรานทั้ง 2 ประเทศ” ถ้อยแถลงจากสำนักนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ระบุ
ที่มา: รอยเตอร์