รอยเตอร์/เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – รัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังอยู่ระหว่างวางแผนทำให้ท่าเรือทางยุทธศาสตร์ทั่วโลกที่อยู่ในกำมือจีนตกอยู่ใต้อิทธิพลตะวันตก ด้านคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีนและการตรวจสอบความมั่นคงประจำสภาคองเกรสสหรัฐฯ (U.S.-CHINA ECONOMIC AND SECURITY REVIEW COMMISSION) ออกรายงานวิเคราะห์อิทธิพลจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ "ช่องแคบมะละกา" พร้อมชี้ “ไทย” เพื่อนเก่าอเมริกาเปลี่ยนไปหันไปใกล้ชิดทางการทหารกับจีน พึ่งพาทางการลงทุนทางเศรษฐกิจตามโอกาสหอมหวลเพิ่มโอกาสการส่งออกของภูมิภาคไปสู่ยุโรป
รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (16 ก.ย)ว่า แผนการของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ นี้เป็นส่วนหนึ่งของความปราถนาที่ต้องการขยายอิทธิพลทางทะเลของสหรัฐฯนับตั้งแต่ยุค 70 เพื่อแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดสงครามระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ปักกิ่งมีเครือข่ายท่าเรืออยู่ในมือทั่วโลก
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์เชื่อว่า กองเรือทางพาณิชย์ของสหรัฐฯไม่มีอุปกรณ์ที่ดีพอในการให้การสนับสนุนทางด้านโลจิสติกให้แก่กองทัพสหรัฐฯหากเกิดสงครามและถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่วอชิงตันต้องพึ่งพาเรือต่างชาติและท่าเรืออย่างมหาศาล
ทางเลือกที่ทางทำเนียบขาวกำลังพิจารณารวมถึงการสนับสนุนบริษัทเอกชนของสหรัฐฯหรือของชาติตะวันตกให้เข้าซื้อหุ้นจีนในท่าเรือต่างๆอ้างอิงการเปิดเผยจากแหล่งข่าว 3 คนที่รู้ในเรื่องนี้
รอยเตอร์ชี้ว่า อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวไม่ยอมปริปากเอ่ยถึงชื่อบริษัทอื่นๆมากไปกว่า ข้อเสนอจาก BlackRock ในการซื้อทรัพย์สินท่าเรือของ CK Hutchison ของเจ้าสัวฮ่องกง ลี กาชิงที่มีใน 23 ประเทศ รวม คลองปานาม หลังบ้านสหรัฐฯ
ในรายงานของรอยเตอร์ระบุว่า แผนการรัฐบาลทรัมป์ในการเข้ามามีอิทธิพลเหนือท่าเรือทางพาณิชย์ทั่วโลกแทนจีนนี้ครอบคลุมไปถึง กรีซ สเปน และทั้งจาไมกาในทะเลแคริบเบียนและชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯเช่นที่ เมืองลอสแอนเจลิส เมืองลองบีช และออสเตรเลีย
เป็นที่น่าสนใจว่า ปักกิ่งวางยุทธศาสตร์อย่างแหลมคมในการใช้บริษัทเอกชนเช่น COSCO ที่โดนสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำจากเหตุผลพบเชื่อมโยงกองทัพจีน PLA นั้นถือหุ้น 67% ในท่าเรือ Piraeus ของกรีซเป็นจุดยุทธศาสตร์ตั้งอยู่จุดเส้นทางการค้าเชื่อมระหว่างยุโรป แอฟริกา และเอเชีย
ขณะที่ในสเปนบริเวณช่องแคบยิบรอลต้าถือเป็นจุดสำคัญที่แบ่งแยกสเปนจากแอฟริกาและยังเป็นทางเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
วอชิงตันมีความวิตกนายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซ (Pedro Sanchez) ต้องการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปักกิ่งและทำให้ท่าเรือสเปน 2 แห่งได้แก่ ท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ Valencia และที่ Bilbao คุมโดย COSCO
รอยเตอร์รายงานว่า สตวร์ต พูล-ร็อบบ์ (Stuart Poole-Robb) ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงและข่าวกรองลับ KCS เปิดเผยว่า “รัฐบาลสหรัฐฯมองการลงทุนของจีนตามท่าเรือทั่วโลกเป็นเสมือนภัยคุกคามมหันต์ต่อความมั่นคงประเทศ"
และกล่าวต่อว่า “ความวิตกนั้นเกิดขึ้นว่าจีนสามารถยกระดับการควบคุมทรัพย์สินเหล่านี้เพื่อการจารกรรม ความได้เปรียบทางการทหารหรือเพื่อสร้างความติดขัดต่อซัพพลายเชนส์ระหว่างเกิดวิกฤตการเมืองเชิงภูมิศาสตร์โลก” เขาอ้างอิงจากการสนทนากับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสหรัฐฯ
ทั้งนี้นอกเหนือจาก COSCO ที่จีนใช้บังหน้าเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมเครือข่ายท่าเรือทั่วโลก ยังมีบริษัทอื่นที่รัฐบาลปักกิ่งควบคุม 100% เหมือนเช่น COSCO เป็นต้นว่า China Merchants และ SIPG ในเซียงไฮ้
อุตสาหกรรมต่อเรือจีนนั้นมีการประเมินกันว่าใหญ่กว่าศักยภาพของสหรัฐฯถึง 230 เท่า ที่หมายความว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษถึงจะไล่ตามทัน อ้างอิงการวิเคราะห์จากกองทัพเรือสหรัฐฯ
รอยเตอร์อ้างอิงจากรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วโดยสถาบันธิงแทงก์อเมริกัน Council of Foreign Relations รายงานว่ามาจนถึงสิงหาคมปี 2024 พบว่า ปักกิ่งได้ลงทุนในโปรเจกต์ท่าเรือ 129 แห่งทั่วโลกผ่านบริษัทต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตามโฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันดีซี ออกมาโต้ว่า จีนทำตามความร่วมมือร่วมตามปกติกับชาติอื่นๆภายในกรอบการทำงานของกฎหมายระหว่างประเทศ
ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชิปปิ้งเลนสำคัญจากชายฝั่งทางตะวันตกของสหรัฐฯวิ่งตัดผ่านทะเลจีนใต้ที่ปักกิ่งพยายามอ้างสิทธิ์ถือครองไปเกือบหมดและส่งผลทำให้สหรัฐฯเป็นแกนนำปฎิบัติการเสรีภาพการเดินเรือทางทะเลเพื่อแสดงถึงสิทธิการเดินเรือในน่านน้ำสากลที่บรรดาเรือคาร์โก้สินค้าวิ่งผ่านช่องแคบมะละกาเพื่อผ่านไปยังมหาสมุทรอินเดียและตะวันออกกลาง
คณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีนและการตรวจสอบความมั่นคงประจำสภาคองเกรสสหรัฐฯ (U.S.-CHINA ECONOMIC AND SECURITY REVIEW COMMISSION) ออกรายงานวิเคราะห์เมื่อปี 2019 ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ถึงอิทธิพลจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะช่องแคบมะละกาในปี 2019 และมีการวิเคราะห์ไปถึง "ไทย"
โดยสหรัฐฯชี้ว่า ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แสดงถึงโอกาสสำหรับจีนในการสร้างช่องทางการค้าใหม่เพื่อเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียและในรายงานแสดงผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจีนและชาติต่างๆในภูมิภาคที่สำคัญได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และไทย โดยให้ความสำคัญไปที่เป้าหมายของจีนในภูมิภาคและการส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯได้อย่างไร
ในรายงานระบุว่ากองทัพจีน PLA ได้วิเคราะห์ว่า จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าทางพลังงานผ่านช่องแคบมะละกาที่กลายเป็นเส้นเลือดสำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนและในช่วงเกิดสงครามหรือวิกฤตทางน้ำ และชี้ว่าจีนจะถูกตัดขาดจากการไม่สามารถเข้าควบคุม(ช่องแคบมะละกา)ได้
ส่งผลทำให้ปักกิ่งพยายามหาช่องทางใหม่เพื่อบายพาสช่องแคบมะละกาไปเป็นต้นว่า การสร้างคอร์ริดอร์แลนด์บริดจ์ในพม่าและเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานทางรางเชื่อมคุนหมิงไปถึง “สิงคโปร์” ที่ตั้งใกล้ช่องแคบมะละกาผ่านลาว ไทย พม่า และขยายไปถึงเวียดนามแสดงการเพิ่มโอกาสการส่งออกให้กับประเทศในภูมิภาคอินโดไชน่า
รายงานกล่าวถึง “กัมพูชา”ที่กำลังมีปัญหาทางพรมแดนกับไทยในเวลานี้ว่า กัมพูชาช่วยปักกิ่งเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีนในกลุ่ม ASEAN โดยการออกมาโต้แย้งของกัมพูชาส่งผลทำให้ ASEAN ไม่ออกมาแสดงตัวเพื่อสนับสนุนต่อการวินิจฉัยของศาลกรุงเฮกที่ว่า แผนที่เส้นประ 9 เส้นของปักกิ่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายในคดีสันดอนสการ์โบโรห์ (Scarborough Shoal) พิพาทกับฟิลิปปินส์
ที่ล่าสุดอ้างอิงจากรอยเตอร์รายงานวันอังคาร(16)ระบุว่า สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลจีนอนุมัติแผนที่จะเปลี่ยนสันดอนสการ์โบโรห์หรือเกาะหวงเหยียน (Huangyan Island) และทางฟิลิปปินส์เรียกว่า Patatag Shoal ให้กลายเป็นพื้นที่สงวนแห่งชาติ (national reserve) โดยไม่ได้ประกาศขอบเขตที่ชัดเจน
รัฐบาลจีนทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างเหตุผลอันชอบธรรมที่จะอ้างสิทธิ์เหนือสันดอนสการ์โบโรห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่พิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยและสิทธิในการทำประมงในทะเลจีนใต้อันเป็นเส้นทางเดินเรือที่มีสินค้าขนส่งผ่านปีละมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานของคณะกรรมาธิการสภาคองเกรสสหรัฐฯระบุว่า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน กัมพูชาได้ผลประโยชน์ทางด้านการช่วยเหลือทางการทหารจากจีนโดยยอมรับเงินกู้แบบผ่อนปรนราว 195 ล้านดอลลาร์จากปักกิ่งเพื่อจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Harbin Z-9 จำนวน 12 ลำ
และในปี 2014 ปักกิ่งได้บริจาครถบรรทุก 26 คัน ชุดเครื่องแบบทหารอีก 30,000 ชุด และในปีถัดมา 2015 พบว่าปักกิ่งมีรายงานว่าส่งมอบยานยนต์การทหารให้กองทัพกัมพูชาจำนวน 44 คันซึ่งในนี้ยังรวมถึง รถบรรทุกติดเครื่องยิงจรวดและปืนต่อต้านอากาศยานอีก
ในรายงานคณะกรรมาธิการสภาคองเกรสสหรัฐฯเกี่ยวกับไทยกล่าวว่า หลังจากไทยเกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2014 นั้นส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ไทยเสื่อมทราม และไทยได้หันไปหาปักกิ่งแทน ล่าสุดไทยได้ลงนามการซื้ออาวุธจากจีนมากมายรวม ดีลเรือดำน้ำจีนมูลค่า 393 ล้านดอลลาร์
การวิเคราะห์ระบุว่า ไทยอาจกำลังทำตามแนวปฎิบัติเหมือนในอดีตของความพยายามสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์กับหลายชาติในความใกล้ชิดทางการทหารกับปักกิ่ง
รายงานสภาคองเกรสชี้ว่า ในขณะที่ไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาสหรัฐฯมาตั้งแต่ปี 1954 อ้างอิง รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร (Panitan Wattanayagorn) ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหมไทยในเวลานั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (Prawit Wongsuwan) ระบุว่าไทยได้ฟูมฟักความสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกับจีนนับตั้งแต่ไม่ต่ำกว่ายุค 80 เมื่อไทยได้สั่งซื้อรถถังและเรือฟริเกตจากกองทัพจีน
ทั้งนี้อ้างอิงจากนักการทูตสหรัฐฯพบว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯและไทยได้ห้ามเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจีนในการเข้าตรวจสอบระบบอาวุธอเมริกัน และห้ามโครงการร่วมไทย-จีนตั้งอยู่ในสถานที่อ่อนไหวต่อระบบอาวุธอเมริกัน
เป้าหมายของจีนในไทยสะท้อนได้ถึงความทะเยอทะยานของจีนที่จะเข้าครอบงำภูมิภาคและผลักดันให้ “สหรัฐฯ” กลายเป็น “ประเทศมหาอำนาจนอกภูมิภาค” ไป
และในรายงานของ Characterizing Chinese Influence in Thailand ตีพิมพ์ JOURNAL OF INDO-PACIFIC AFFAIRS ฉบับมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2024 และเผยแพร่บนเว็บไซต์ของกระทรวงการสงครามสหรัฐฯหรือ เพนตากอน ซึ่งคณะผู้วิจัยเป็นเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯและมีเจ้าหน้าที่กองทัพไทยร่วมด้วย มีใจความว่า
จีนหรือที่รู้่จักในชื่อ PRC ตามรายงานได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมในไทยได้ช่วยเพิ่มศักยภาพของจีนในการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมสื่อสารมวลชนในไทยที่จะโปรโมทแง่ดีของจีน สนับสนุนการลงทุนทางเศรษฐกิจ และเซ็นเซอร์เนื้อหาแง่ลบของประเทศจีนผ่านสื่อไทย
รายงานของเพนตากอนยังกล่าวว่า มีผู้มีอิทธิพลในไทยมากมายช่วยสนับสนุนปักกิ่งในไทยโดยชี้ไปถึง อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของอาณาจักรซีพี และคนอื่นๆ
ทั้งนี้ทักษิณในรายงานเพนตากอนระบุว่า ถูกมองในวงกว้างได้รับเครดิตเป็นผู้ขับเคลื่อนการเมืองไทยให้หันเข้าหาปักกิ่งโดยอ้างอิงไปถึงเชื้อชาติจีนบรรพบุรุษของตัวเอง อดีตนายกฯทักษิณถูกมองว่าเป็นความเชื่อมโยงทางธุรกิจกับปักกิ่ง
รายงานเพนตากอนยังแสดงความชื่นชมไทยว่า ไทยซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและมีความหลากหลายสามารถสร้างความสมดุลกับอิทธิพลจีนและเข้ามาเกี่ยวข้องจีนในระดับยุติธรรมมากขึ้น
ไทยมีความวิตกถึงการกำลังตกอยู่ในความพึ่งพาอย่างหนักต่อการลงทุนจากจีนและเฝ้ามองจีนสามารถเข้าควบคุมทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์ทั้งใน กัมพูชา ลาว และศรีลังกา
รายงานกล่าวว่า ไทยประสบความสำเร็จสามารถเลี่ยงการติดกับดักหนี้จีนได้ด้วยการจำกัดจากจีน