การปิดจุดผ่านดินแดนสำคัญๆของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนติดกับไทย กำลังก่อความปั่นป่วนทางลอจิสติกส์อย่างรุนแรงและก่อความเสี่ยงแก่ความน่าดึงดูดใจของประเทศในฐานะจุดหมายหลักของการลงทุน ตามรายงานของเว็บไซต์ทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ อ้างอิงคำเตือนของญี่ปุ่นที่ฝากไปยังกัมพูชา หลังจากก่อนหน้านี้สื่อมวลชนกัมพูชาตีข่าวอ้างว่าประเทศที่ 3 ที่กดดันให้ไทยและกัมพูชาเปิดด่านท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ ก็คือญี่ปุ่น คำกล่าวอ้างที่โหมกระพือเสียงโวยวายอย่างดุเดือดจากผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ในไทย
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนกัมพูชาอย่าง kampucheathmey อ้าง อูเอโนะ อาสึชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชา พูดว่าการปิดด่านชายแดนที่ยืดเยื้อระหว่างกัมพูชาและไทย ทำให้บรรดาบริษัทต่างๆของญี่ปุ่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและการจ้างงานใหม่ๆในกัมพูชาไม่ใช่เรื่องง่ายในสถานการณ์เช่นนี้
"ผมเข้าใจว่ารัฐบาลกัมพูชา หวังว่าบริษัทต่างๆของญี่ปุ่นในกัมพูชาจะมอบโอกาสการจ้างงานแก่บรรดาแรงงานที่เดินทางกลับมา อย่างไรก็ตามสืบเนื่องจากการปิดด่านชายแดนที่ยืดเยื้อกับไทย บรรดาบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในกัมพูชาผ่านนโยบาย ไทยแลนด์พลัส 1 ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากๆ และการขยายโอกาสการจ้างงานใหม่ ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายเลย"
รายงานของสื่อมวลชนกัมพูชาที่อ้างคำพูดดังกล่าว ในฐานะเป็นการกดดันให้มีการเปิดด่าน โหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ในบนสื่อสังคมออนไลน์ในไทย ที่ยกพลกันไปบุกถล่มเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของสถานทูตญี่ปุ่น กล่าวหาแทรกแซงกิจการของไทย บางส่วนแสดงความผิดหวังกับการเข้ามาก้าวก่ายของพันธมิตรแห่งนี้
อย่างไรก็ตามล่าสุดทางทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ รวมถึงสื่อญี่ปุ่น และเพจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น พยายามอธิบายความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยระบุว่าแท้จริงแล้วทางโตเกียว เพียงแค่แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในกัมพูชา โดยชี้ว่าการปิดด่านชายแดนสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ติดกับไทย กำลังก่อความปั่นป่วนทางลอจิสติกส์อย่างรุนแรงและก่อความเสี่ยงแก่ความน่าดึงดูดใจของกัมพูชาในฐานะจุดหมายหลักของการลงทุน
ในนั้นรวมถึงกรณีที่องค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น(JETRO) ที่เมื่อเร็วๆนี้เผยแพร่คำเตือนเสียงเข้ม เกี่ยวกับผลกระทบทางลบของการปิดชายแดนที่มีต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของกัมพูชา และมันจะส่งผลกระทบสำคัญต่อภาคธุรกิจของญี่ปุ่นที่ปฏิบัติการในภูมิภาคด้วย
ประชาคมภาคธุรกิจญี่ปุ่นหวังใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ขยายสู่ประเทศต่างๆในอาเซียน ในยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "ไทยแลนด์พลัสวัน" อย่างไรก็ตามการปิดชายแดนรื้อรังก่อความเสี่ยงต่อกรอบการทำงานนี้ ผลักให้บริษัทต่างๆต้องทบทวนใหม่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การลงทุนในภูมิภาค
ทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ ระบุว่าความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ ยังคงก่อผลประทบในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์ ทั้งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการขนส่งล่าช้า ที่กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชา เน้นย้ำว่าถ้าสถานการณ์เช่นนี้ยังคงลากยาวต่อไป กัมพูชาอาจสูญเสียแรงดึงดูดในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนที่น่าเชื่อถือสำหรับบรรดาบริษัทข้ามชาติ ผลกระทบแบบระลอกคลื่นสามารถพบเห็นได้แล้ว ด้วยกิจการร่วมค้าญี่ปุ่นหลายแห่งเตรียมเลื่อนโครงการต่างๆออกไป และบางกิจการกำลังดิ้นรนรับมือกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
รายงานของทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ ระบุว่าเหล่าบริษัทญี่ปุ่นที่บูรณาการเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านปฏิบัติการ นำมาสู่ความตึงเครียดทางการเงินและเลื่อนแผนขยายธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์ไม่ได้จำกัดวงอยู่กับแค่บริษัทต่างเหล่านั้น แรงงานกัมพูชาเองที่ได้รับการจ้างงานจากธุรกิจเหล่านี้ ก็กำลังได้รับผลกระทบเช่นกันในรูปแบบของความไม่แน่นอนและภาวะไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ในการตอบสนองความกังวลที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ระบุว่าพวกเจ้าหน้าที่กัมพูชายอมรับถึงความรุนแรงของประเด็นปัญหา พวกเขากำลังหาทางกู้คืนเส้นทางโลจิสติกส์หลักๆและกลับมาเปิดจุดผ่านแดน เป้าหมายคือลดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจอันมีต้นตอจากการปิดชายแดน พวกผู้นำกัมพูชาตระหนักว่าความยุ่งเหยิงที่ลากยาวจะบ่อนทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ ในหมู่นักลงทุนและเป็นอุปสรรคขัดขวางกัมพูชา ที่วางเป้าหมายกลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2050
นอกเหนือจากประเด็นชายแดนแล้ว ประชมคมภาคธุรกิจญี่ปุ่นยังหยิบยกความกังวลสำคัญๆอื่นๆระหว่างการพบปะพูดคุยระกับสูงในพนมเปญเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงประเด็นความล่าช้าเกี่ยวกับกระบวนการออกหนังสือยกเว้นภาษีสำหรับโครงการความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance - ODA) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างมาก แต่ล่าช้ามานาน ส่วนอีกปัญหาหนึ่งก็คือกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของกัมพูชา ที่บังคับใช้แบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ บริษัทต่างๆส่งเสียงคร่ำครวญว่ามันทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะเสียเปรียบ
ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชากำลังประสบปัญหาในการจัดการกับตลาดบุหรี่ผิดกฎหมาย ที่กระทบต่อภาคธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ในนั้นรวมถึงบรรดาบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น การเติบโตของการค้าผิดกฎหมายไม่ได้แค่ก่อความปั่นป่วนแก่ภาคธุรกิจเท่านั้น แต่มันยังทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง ขณะเดียวกันมันก็เป็นประเด็นที่พวกนักลงทุนชี้ให้เห็นซ้ำๆว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางการแข่งขันที่ยุติธรรม
รายงานของทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์ ถูกเผยแพร่ออกมาท่ามกลางความสับสนเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างมีประเทศที่ 3 กดดันเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ในนั้นรวมถึงคำสัมภาษณ์ของ ทางพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย เมื่อวันพุธ(10ก.ย.) ที่ระบุว่า "ต้นตอของการเปิดท่านเกิดจากประเทศที่ 3 ไม่ได้เกิดจากไทยและกัมพูชา"
"เนื่องจากประเทศที่ 3 แจ้งมาว่า ไทยและกัมพูชามีความขัดแย้งกัน เขาเกี่ยวอะไรด้วย ทำให้เขาเดือดร้อน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่เรารับฟัง จึงเป็นที่มาของการหาทางออก ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เห็นด้วย" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
(ที่มา:ทราเวลแอนด์ทัวร์เวิลด์/mgronline)