ทรัมป์เตือนบริษัทต่างชาติต้องเคารพกฎหมายคนเข้าเมือง ย้ำวอชิงตันต้อนรับการลงทุนและแรงงานจากประเทศต่างๆ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ บริษัทเหล่านั้นต้องว่าจ้างและฝึกพนักงานอเมริกันด้วย ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้มีกำหนดไปสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (8 ก.ย.) เพื่อนำแรงงานโสมขาว 300 คนที่ถูกจับกุมขณะทำงานในโรงงานแบตเตอรีฮุนได-แอลจี เดินทางกลับประเทศ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์มสื่อสังคม ทรูธโซเชียล ของเขาในวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า หลังจากเกิดกรณีสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ไอซ์) บุกตรวจค้นโรงงานแบตเตอรี่ของกิจการร่วมทุนระหว่างฮุนไดและแอลจี ที่รัฐจอร์เจีย และจับกุมแรงงานทำงานผิดกฎหมาย 475 คน ซึ่งจำนวนมากเป็นชาวเกาหลีใต้เมื่อวันพฤหัสฯ (4) ที่ผ่านมาแล้ว เขาก็ขอเตือนไปยังบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในอเมริกาให้เคารพกฎหมายคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ
ทรัมป์เสริมว่า วอชิงตันยินดีต้อนรับการลงทุนของต่างชาติ รวมทั้งพนักงานต่างชาติที่มีทักษะและเดินทางเข้าสู่อเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างนวัตกรรมระดับโลก โดยอเมริกาจะอำนวยความสะดวกสำหรับการดำเนินการดังกล่าวแต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือ บริษัทเหล่านั้นจะต้องว่าจ้างและฝึกอบรมพนักงานอเมริกันด้วย
ผู้นำสหรัฐฯ เสริมว่า อาจพิจารณาความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาวต่างชาติเข้าไปช่วยฝึกพนักงานอเมริกัน
ทรัมป์ยังบอกอีกว่า ไอซ์ทำถูกต้องแล้วในการเข้าตรวจค้นโรงงานแบตเตอรี่ของกิจการร่วมทุนฮุนได-แอลจี พร้อมยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้
ทางด้านรัฐบาลเกาหลีใต้นั้น ได้แสดงความเสียใจเกี่ยวกับการจับกุมคราวนี้ รวมทั้งที่มีการเผยแพร่ภาพพวกคนงานเกาหลีใต้ถูกสวมกุญแจมือและล่ามโซ่ตรวนที่ข้อเท้าและถูกควบคุมตัวเดินเรียงแถวขึ้นรถโดยสาร
สตีเวน ชแรงก์ เจ้าหน้าที่สอบสวนพิเศษของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในจอร์เจีย กล่าวว่า การบุกค้นดังกล่าวซึ่งถือเป็นการบุกค้นสถานที่แห่งหนึ่งครั้งเดียวครั้งใหญ่ที่สุดนับจากที่ทรัมป์ผลักดันนโยบายปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองนั้น มีเป้าหมายที่การปราบปรามการจ้างงานผิดกฎหมาย
ขณะที่ทอม โฮแมน ผู้รับผิดชอบปัญหาพรมแดนของทำเนียบขาว ประกาศว่า จะขยายปฏิบัติการตรวจค้นสถานที่ทำงานต่างๆ ต่อไปอีก
กิจการร่วมทุนของฮุนดี-แอลจีแห่งนี้ เผยว่า มีพนักงานของบริษัทถูกจับกุม 47 คน โดยเป็นชาวเกาหลีใต้ทั้งหมด ยกเว้น 1 คนเป็นแรงงานอินโดนีเซีย และเชื่อว่า แรงงานราว 250 คนที่ถูกจับกุมพร้อมกันนี้ เป็นพวกที่ได้รับการว่าจ้างจากพวกผู้รับเหมา ถึงแม้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวเกาหลีใต้ก็ตาม
ทางด้านฮุนไดระบุว่า ไม่มีพนักงานของบริษัทถูกจับกุม
ในวันอาทิตย์ ทางการเกาหลีใต้เผยว่า เสร็จสิ้นการเจรจาเพื่อขอให้สหรัฐฯปล่อยตัวแรงงานเกาหลีใต้ราว 300 คนที่ถูกควบคุมตัวแล้ว โดยที่ โช ฮยุน รัฐมนตรีต่างประเทศเผยว่า จะเดินทางไปอเมริกาในวันจันทร์ (8) เพื่อจัดการปัญหาต่างๆ และนำแรงงานเกาหลีใต้กลับประเทศด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำซึ่ งจะถือเป็นการ “เดินทางออกจากอเมริกาโดยความสมัครใจ”
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวยอนฮัป ของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของโช คีจุง กงสุลใหญ่ประจำวอชิงตันว่า แรงงานที่ถูกจับกุมจะเดินทางออกจากอเมริกาในวันพุธ (10 ก.ย.)
ด้านรัฐมนตรีคลัง คู ยุนโชล กล่าวว่า เขาได้ยินมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญบางคนได้เดินทางจากเกาหลีใต้เพื่อไปคอยช่วยเหลือในช่วงเทสต์รันของโรงงานแบตเตอรีแห่งนั้น ซึ่งมีกำหนดเริ่มทำการผลิตในเดือนตุลาคมนี้
“คุณจำเป็นต้องได้วีซ่า สำหรับการเข้าไปทำเทสต์รัน แต่มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะได้รับวีซ่าอย่างเป็นทางการ ขณะที่เวลากำลังเหลือน้อยเต็มที และผมคิดว่าพวกผู้เชี่ยวชาญก็เลยเดินทางไปสหรัฐฯ (โดยที่ยังไม่ได้รับวีซ่าประเภทที่ถูกต้อง)” เขากล่าว
เกาหลีใต้นอกจากเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงรายสำคัญของสหรัฐฯในย่านแปซิฟิกแล้ว ประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชียรายนี้ เป็นส่งเสริมพวกผู้ผลิตรถและอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของตน เข้าไปตั้งโรงงานหลายแห่งในอเมริกา
ระหว่างการเจรจาต่อรองกับคณะบริหารทรัมป์เรื่องภาษีศุลกากรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โซลได้พยายามตอบสนองข้อเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าของทรัมป์ทั้งเรื่องการซื้อสินค้าอเมริกันเพิ่มมากขึ้น และการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ทั้งนี้ในเดือนที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีอี แจ-มยอง พบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง โคเรียนแอร์ สายการบินแห่งชาติของเกาหลีใต้ก็สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 100 ลำ ซึ่งถือเป็นข้อตกลงมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์การบินของแดนโสมขาว ก่อนหน้านั้นในเดือนกรกฎาคม โซลก็รับปากลงทุนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ในอเมริกา
ในที่สุดแล้ว เกาหลีใต้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยคณะบริหารทรัมป์กำหนดเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 15% จากสินค้าเข้าของโสมขาว ลดลงจากอัตรา 25% ที่ทรัมป์ขู่ไว้ก่อนหน้านั้น
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี )