องค์กรวิจัยชื่อดังของสหรัฐฯเผยแพร่บทความเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ยืนยันว่ากัมพูชาควรถูกกล่าวโทษสำหรับการปลุกปั่นสงครามและต่อกรณียิงจรวดใส่พื้นที่พลเรือนของไทย พร้อมแนะนำให้อเมริกาควรเห็นอกเห็นใจและเลือกยืนหยัดเคียงข้างไทย พันธมิตรตามสนธิสัญญาที่แน่นแฟ้นกันมานาน
ชาวอเมริกันส่วนใหญ่รู้ว่ารัสเซียกับยูเครนกำลังทำศึกสงครามกัน แต่มีเพียงเล็กน้อยที่ทราบว่ามีอีกหนึ่งตัวอย่างความขัดแย้งติดอาวุธที่ลากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปแทรกแซงโดยตรง นั่นคือข้อพิพาทตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา บทความของ มูลนิธิเฮอร์ริเทจ ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยนโยบายสาธารณะแนวอนุรักษ์นิยมของอเมริกา ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุ
บทความที่เขียนโดย วิลสัน บีเวอร์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายอาวุโว แห่งศูนย์อัลลิสันเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่าตามหลังการสู้รบอันดุเดือดเป็นเวลา 5 วัน ในนั้นรวมถึงกรณีกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่ดินแดนของไทย และไทยแก้แค้นด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล่นงานเป้าหมายทางทหารต่างๆในกัมพูชา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 รายและอีกหลายแสนคนต้องพลัดถิ่นฐาน ทั้่ง 2 ประเทศได้เห็นพ้องในข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ ที่พิสูจน์อีกครั้งว่าเขามุ่งมั่นต่อสันติภาพ หลังประสบความสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงอื่นๆในหลายข้อตกลงตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
ในบทความระบุว่ารัฐบาลกัมพูชา พันธมิตรใกล้ชิดของจีน ควรถูกกล่าวโทษทั้งจากการเป็นคนปลุกปั่นความขัดแย้งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต่อกรณีเล็งเป้าเล่นงานพื้นที่พลเรือนของไทย พร้อมระบุทั้ง 2 ประเทศ เปิดศึกกันตามหลังเหตุการณ์กับระเบิดในเดือนกรกฏาคม ที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้ง 2 ฝ่ายตอบสนองด้วยการเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปยังชายแดน และเริ่มยิงปืนใหญ่เข้าใส่กัน โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นคนยิงก่อน
บทความระบุว่าระหว่างความขัดแย้ง กองทัพไทยแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่ากองทัพกัมพูชาเป็นอย่างมาก ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ โจมตีได้อย่างแม่นยำ เล่นงานคลังจรวด รวมถึงศูนย์บัญชาการและศูนย์ควบคุมในกัมพูชา นอกจากนี้แล้ว ไทยยังใช้เครื่องบินกริพเพน JAS 39 ที่ผลิตโดยสวีเดนเป็นครั้งแรก ในการโจมตีที่ตั้งปืนใหญ่ของกัมพูชา ที่ใช้สาดกระสุนเข้าใส่พื้นที่ชายแดนของไทย ขณะเดียวกันกองทัพไทยยังเผยแพร่วิดีโอ ที่กองกำลังของพวกเขาใช้โดรนติดอาวุธเล่นงานเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาใกล้ชายแดน
ในบทความอ้างอิงกองทัพไทย เน้นย้ำว่ากัมพูชายิงจรวด BM-21 ที่ผลิตโดยรัสเซียเข้าใส่พื้นที่พลเรือนของไทย ส่งผลให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิต 14 ราย พร้อมระบุระหว่างความขัดแย้งช่วงสั้นๆ ไทยมีพลเรือนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บมากกว่าทหาร หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์เลวร้าย ทหารกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่สถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งของไทย สังหารชีวิตพลเรือนไปจำนวนหนึ่ง
บทความชี้ว่า สำหรับหลายเหตุผล อเมริกาควรเห็นอกเห็นใจไทย หนึ่งในนั้นคือกัมพูชามีความร่วมมือด้านความมั่นคงใกล้ชิดกับประเทศต่างๆที่ไม่เป็นมิตรกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมถึงจีนและเกาหลีเหนือ ในปี 2017 กัมพูชาระงับปฏิบัติการทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ และยิ่งไปกว่านั้นยังหันไปพัฒนาความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับจีนแทน ในนั้นรวมถึงกรณีอนุญาตให้จีนร้างท่าเรือที่ใช้งานได้ทั้งในด้านพาณิชย์และการทหารในกัมพูชา
การขยายรอยเท้าของจีนในฐานทัพเรือเรียมของกัมพูชา เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งสำหรับบรรดาผู้กำหนดนโยบายของอเมริกา หากมองไปยังท่าทีของจีนในอินโด-แปซิฟิก บทความระบุ พร้อมบอกต่อว่าฐานทัพแห่งนี้ ซึ่งเริ่มให้เรือจีนเข้าเทียบท่าอย่างเป็นประจำเมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นการเปิดทางให้ปักกิ่งเข้าถึงอ่าวไทยโดยตรง จึงเท่ากับเป็นการเสริมการสอดแนมของปักกิ่งและการรวบรวมข้อมูลในภูมิภาคใกล้กับช่องแคบมะละกา และที่เลวร้ายกว่านั้น กัมพูชาเคยปฏิเสธข้อเสนอของอเมริกา สำหรับช่วยออกทุนในฐานทัพเรือดังกล่าว และถึงขั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างโดยสหรัฐฯ ณ ท่าเรือแห่งนี้
"ผิดกับไทย ที่เป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาที่ยาวนานของสหรัฐฯ ทั้งภายใต้ข้อตกลงมะนิลา 1954, การเป็นคู่หูหลักในยุทธศาสตร์ความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ รวมถึงเป็นพันธมิตรหลักนอกนาโตมาตั้งแต่ปี 2003 ทั้งนี้ ไทย คือผู้ใช้หลักยุทโธปกรณ์ทางทหารของอเมริกาและยุโรป ยกตัวอย่างกรณีเมื่อเร็วๆนี้ก็คือเครื่องบินเอฟ-16ของอเมริกาและเครื่องบินกริพเพนของสวีเดน ซึ่งเป็นเสาหลักของกองทัพอากาศไทย ระหว่างสงครามเย็น ไทย ยืนหยัดในฐานะป้อมปราการต่อต้านการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ขณะเดียวกันทหารไทยยังสู้รบเคียงข้างทหารอเมริกา ทั้งในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม" บทความระบุ
บทความระบุต่อว่า ความร่วมมือใกล้ชิดด้านความมั่นคงยังคงถูกสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกๆปีกองทัพไทยจะทำงานใกล้ชิดกับกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ในการเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบคอบร้าโกลด์ การซ้อมรบร่วมที่นำโดยทหารอเมริกาใหญ่ที่สุดในอินโด-แปซิฟิก โดยผู้เข้าร่วมในปีนี้ประกอบด้วย สหรัฐฯ, ไทย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และเกาหลีใต้
ในบทความแนะนำว่า ในขณะที่สหรัฐฯต้องการปักหมุดในอินโด-แปซิฟิก ทางอเมริกาควรเตือนตนเองว่าเรามีพันธมิตรตามสนธิสัญญาอยู่ก่อนแล้ว ประเทศต่างๆที่เราทำงานกันอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงการเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของเราและใครที่เราสนับสนุนประเด็นต่างๆด้านความมั่นคงแห่งชาติ มันจึงสมเหตุสมผลที่เราควรให้ความสำคัญกับเหล่าพันธมิตรอย่างเป็นทางการ อย่างเช่น ไทย, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ รวมไปถึงไต้หวัน
อย่างไรก็ตามบทความระบุต่อว่าทุกคนควรรู้สึกยินดีที่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชายุติลงอย่างรวดเร็ว และเป็นไปได้ที่สหรัฐฯควรหาทางติดต่อประสานงานกับกัมพูชา และมอบทางเลือกแก่พวกเขาสำหรับความเป็นหุ้นส่วนแก่พวกเขา ในฐานะทางเลือกอื่นแทนที่จีน
บทความเขียนปิดท้ายว่า แม้ประชาชนชาวกัมพูชาทั่วไปจะแสดงความขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ ต่อการช่วยยุติความขัดแย้ง ในนั้นรวมถึงกรณีพระสงฆ์กัมพูชาเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพ ชูภาพถ่ายประธานาธิบดีทรัมป์ บริเวณด้านหน้าสถานทูต เป็นสัญลักษณ์ของการขอบคุณ มันถือเป็นโอกาสสำหรับการคบค้ากับกัมพูชา เช่นเดียวกับการที่พนมเปญถอยห่างจากการความร่วมมือทางทหารอันใกล้ชิดกับจีน อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดแล้ว ไทย คือพันธมิตรตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ และยืนหยัดเคียงข้างอเมริกามาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นสหรัฐฯควรสนับสนุนสิทธิการป้องกันตนเองของไทย
(ที่มา:The Heritage Foundation)