xs
xsm
sm
md
lg

เกาหลีใต้ออกกฎหมายห้ามใช้ ‘โทรศัพท์มือถือ’ ในห้องเรียน-เริ่มบังคับใช้ มี.ค. ปีหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการใช้โทรศัพท์มือถือภายในห้องเรียนโดยมีผลบังคับทั่วประเทศ ตามรายงานของเจ้าหน้าที่วันนี้ (28 ส.ค.) ซึ่งทำให้แดนโสมขาวกลายเป็นชาติล่าสุดที่ออกมาตรการจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เยาวชน

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอินเทอร์เนตครอบคลุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทว่าเกาหลีใต้เริ่มหันมาควบคุมการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในสถานศึกษามากขึ้น เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรม “ติดโทรศัพท์มือถือ” ในหมู่นักเรียน

โฆษกสภาแห่งชาติเกาหลีใต้ยืนยันกับเอเอฟพีว่า รัฐสภาได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายห้ามมิให้มีการใช้อุปกรณ์สมาร์ทต่างๆ รวมถึงโทรศัพท์มือถือภายในห้องเรียน โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน มี.ค. ปีหน้า

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศล่าสุดที่จำกัดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในหมู่เด็กนักเรียน โดยเดินตามแนวทางของอีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์

กระทรวงการศึกษาเกาหลีใต้แถลงว่า กฎหมายฉบับนี้จะห้ามการใช้สมาร์ทโฟนภายในห้องเรียน เว้นแต่เพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยสำหรับนักเรียนที่มีความพิการหรือความจำเป็นพิเศษทางการศึกษา หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการศึกษา

มาตรการนี้ยังเป็นพื้นฐานทางกฎหมายไปสู่การ “จำกัดการครอบครองและใช้อุปกรณ์มือถือลักษณะนี้ เพื่อปกป้องสิทธิของนักเรียนในการเรียนรู้และสนับสนุนกิจกรรมของครูอาจารย์”

สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ รวมถึง ส.ส. โช จุงฮุน จากพรรคฝ่ายค้าน People Power Party ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายนี้ ระบุว่าประเด็นดังกล่าว “เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน ด้วยกังวลว่าจะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน”

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกาหลีใต้ได้เปลี่ยนจุดยืนเมื่อไม่นานมานี้ โดยระบุว่า การจำกัดการใช้โทรศัพท์ให้อยู่แค่เฉพาะเรื่องการศึกษาไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ เนื่องจากอุปกรณ์มือถือเหล่านี้อาจส่งผลในเชิงลบต่อการเรียนรู้และสุขภาวะทางอารมณ์ของเด็กนักเรียน

อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็จุดกระแสวิจารณ์จากคนบางกลุ่ม รวมถึงพรรคฝ่ายซ้าย Jinbo Party ซึ่งมองว่ามันเป็นการ “ละเมิดสิทธิทางดิจิทัล และสิทธิในการเรียนรู้ของนักเรียน”

คำแถลงจากพรรค Jinbo ให้เหตุผลว่า มาตรการเช่นนี้ “ปิดกั้นไม่ให้วัยรุ่นได้เรียนรู้ที่จะตัดสินใจอย่างรับผิดชอบด้วยตนเอง และปิดโอกาสไม่ให้เยาวชนได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมดิจิทัล”

ที่มา: เอเอฟพี
กำลังโหลดความคิดเห็น