สหรัฐฯเห็นพ้องในหลักการสำหรับยกเว้น โกโก้, น้ำมันปาล์มและยาง ที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย จากมาตรการรีดภาษี 19% ที่กำหนดโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม จากการเปิดเผยของหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาการค้าแดนอิเหนาในวันอังคาร(26ส.ค.)
การยกเว้นนี้จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายแล้ว แต่ยังไม่มีการกำหนดเวลา สืบเนื่องจากสหรัฐฯกำลังง่วนอยู่กับการเจรจาเพดานภาษีกับประเทศอื่นๆ จากการเปิดเผยของ แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต ซึ่งดำรงตำแหน่ง: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจอินโดนีเซีย
เขาบอกต่อว่าทั้ง 2 ประเทศยังหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับคลังเชื้อเพลิงในอินโดนีเซีย ภายใต้การเป็นหุ้นส่วนกับกองทุนดานันตารา(กองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐของอินโดนีเซีย) และบริษัทพลังานแห่งรัฐ "เปอร์ตามินา"
"เรากำลังรอการตอบรับของพวกเขา แต่ระหว่างการประชุม มีการเห็นพ้องโดยหลักการ(การยกเว้น) สำหรับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ อย่างเช่นน้ำมันปาล์ม โกโก้และยาง มันจะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์หรือใกล้ๆศูนย์เปอร์เซ็นต์"
อินโดนีเซียคือชาติผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้จัดหายางรายสำคัญ
ทั้งนี้ อินโดนีเซีย ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นชาติแรกๆที่บรรลุข้อตกลงผ่อนปรนเพดานภาษีกับทรัมป์ในเดือนกรกฏาคม แต่จาการ์ตาลงเอยด้วยการโดนอัตราภาษีในระดับเดียวกับประเทศอื่นๆบางชาติ อย่างเช่นไทยและมาเลเซีย แต่ต่ำกว่าเวียดนามที่ถูกรีดภาษี 20% เล็กน้อย
ระหว่างการเจรจา อินโดนีเซียเสนอลงทุนในสหรัฐฯหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึงซื้อน้ำมันดิบ, ก๊าซแอลพีจี, เครื่องบินและผลิตภัณฑ์ฟาร์มของอเมริกา นอกจากนี้แล้วยังรับปากกำหนดเพดานภาษี 0% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯทุกประเภท ที่ป้อนสู่ตลาดแห่งนี้
แอร์ลังกา บอกว่าเพดานภาษีบางอย่างของสหรัฐฯและความคืบหน้าเมื่อเร็วๆนี้ในการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป อาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ช่วยให้รัฐบาลถึงเป้าหมายขยายตัว 5.4% ในปี 2026 เพิ่มขึ้นจากระดับ 5% ที่ประมาณการไว้สำหรับปีนี้
จาการ์ตาต้องการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเพื่อพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแปรรูปสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญๆ ตามคำกล่าวของแอร์ลังกา จำลองแบบความสำเร็จของประเทศที่เคยดึงการลงทุนจีนเข้าสู่โครงการนิกเกิล
(ที่มา:รอยเตอร์)