ประธานาธิบดีเกาหลีใต้รอดพ้นจาก “สถานการณ์เซเลนสกี้” หวุดหวิด หลังได้รับการต้อนรับขับสู้โดยไม่มีดรามาจาก “ทรัมป์” ระหว่างเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (25 ส.ค.) แม้เริ่มต้นไม่ค่อยดีนักก็ตาม
การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีอี แจ-มยอง เป็นไปตามที่เกาหลีใต้คาดหวังเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือ การรอดพ้นจากสิ่งที่กลัวมากที่สุดคือ การถูกโจมตีด้วยถ้อยคำรุนแรงในห้องทำงานรูปไข่แบบที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครน เคยเจอมาก่อนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์จากกรณีความช่วยเหลือของอเมริกาและสงครามกับรัสเซีย
ลีฟ-อิริก อีสลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ในกรุงโซล ชี้ว่า การแถลงข่าวของ อี ร่วมกับทรัมป์ ภายหลังการหารือกันเมื่อวันจันทร์ ดูดีกว่าที่คาดไว้ แถมยังได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์เกี่ยวกับแนวทางในการติดต่อกับเกาหลีเหนือ นอกจากนั้นทรัมป์ยังแสดงความกระตือรือร้นที่จะพบกับคิม จองอึน ผู้นำเปียงยาง โดยมีแนวโน้มว่าอาจเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้
กระนั้น ยังคงมีคำถามสำคัญหลายประการในความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ที่ยังคงไร้ความชัดเจน เช่น จำนวนเงินที่เกาหลีใต้พร้อมจ่ายสำหรับการประจำการของทหารอเมริกัน 28,500 นาย
ระหว่างการแถลงข่าวร่วมที่ห้องทำงานรูปไข่ อีและทรัมป์พูดคุยกันอย่างสนิทสนมเกี่ยวกับประเด็นการค้าและการทหาร และยังสามารถปลดชนวนความไม่พอใจของทรัมป์ที่ดูเหมือนเนื่องมาจากวิกฤตการเมืองของเกาหลีใต้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีคนเดิมถูกถอดถอน และจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่ง อี คือผู้ชนะ
ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะพบกันไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “เกิดอะไรขึ้นในเกาหลีใต้ ดูเหมือนมีการกวาดล้างหรือการปฏิวัติ” และสำทับว่า จะคุยเรื่องนี้กับอี
ภายหลังออกจากทำเนียบขาว อีได้เล่าพลางหัวเราะ ขณะไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ศูนย์เพื่อการศึกษาด้านยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ (ซีเอสไอเอส) องค์การคลังสมองทรงอิทธิพลในกรุงวอชิงตันว่า โพสต์ของทรัมป์ทำให้ทีมงานของเขากังวลว่า กำลังจะเจอสถานการณ์เดียวกับเซเลนสกี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเขารู้ดีว่า รอดแน่เพราะอ่านหนังสือศิลปะการเจรจาที่ถือเป็นคู่มือสำคัญของทรัมป์มาแล้ว
ปรากฏว่าระหว่างพูดคุยออกสื่อที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์มีผ่อนท่าทีลงและอธิบายว่า โพสต์ดังกล่าวของเขาน่าจะเป็นการเข้าใจผิดจากข่าวลือ
แทนที่จะมีดรามา ทั้งคู่คุยกันอย่างอบอุ่นและผลัดกันชมอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีการพูดถึง “ความสัมพันธ์ที่ดี” ของทรัมป์กับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
กระนั้น ชอง ซองชาง รองประธานสถาบันเซจอง ในโซล ชี้ว่า การที่สิ่งต่างๆ ยังคลุมเครือเท่ากับว่า เป้าหมายด้านนโยบายหลายอย่างของเกาหลีใต้ยังไม่ได้รับคำตอบ เช่น การขอให้อเมริกาอนุมัติการแปรสภาพเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และการทบทวนกฎหมายการต่อเรือของอเมริกา
จุน ควังวู ประธานสถาบันเพื่อเศรษฐศาสตร์โลก มองว่า การที่ทรัมป์ไม่ได้ทำให้อีขายหน้า และดูเหมือนทั้งคู่พยายามเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว เช่น จุดยืนทางการเมืองของเกาหลีใต้ในกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันนั้น เป็นเพราะทรัมป์อาจไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถสร้างความขัดแย้งกับอีได้ เนื่องจากกำลังถูกกดดันจากการปีนเกลียวกับประเทศอื่นๆ
หยาง อุก จากสถาบันอาซันเพื่อการศึกษาด้านนโยบายในโซล ตีความว่า ทรัมป์ใช้สูตรเดิมคือเริ่มต้นด้วยการกดดันเกาหลีใต้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ทางด้าน อี บอกว่า จากการสังเกตการเจรจากับประเทศอื่นๆ ทรัมป์มักเสนอเงื่อนไขยากๆ แต่สุดท้ายสามารถได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล และด้วยความสำคัญในการเป็นพันธมิตรระหว่างโซลกับวอชิงตัน เขาจึงมั่นใจว่า ทรัมป์จะไม่ทำให้เกิดรอยร้าวในสัมพันธภาพนี้ นอกจากนั้นทุกคนยังแนะนำให้เขาอดทนเข้าไว้
ในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์นอกจากแสดงความต้องการพบผู้นำเปียงยางแล้ว เขายังกล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับผู้นำโสมขาวว่า อาจไปเยือนจีนภายในปีนี้หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย
ขณะที่ อี เตือนระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่ซีเอสไอเอสว่า แม้เกาหลีใต้พยายามป้องปรามและใช้มาตรการแซงก์ชัน ทว่า เกาหลีเหนือยังคงสามารถพัฒนาโครงการนิวเคลียร์รุดหน้า โดยขณะนี้เกือบจะพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ที่โจมตีได้ถึงอเมริกาสำเร็จแล้ว และอีกไม่นานจะสามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ปีละ 10-20 ลูก
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)