รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ของสหรัฐฯ กล่าวยืนยันในวันพุธ (20 ส.ค.) ว่า ยุโรปต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่สำหรับการค้ำประกันความมั่นคงให้แก่ยูเครน ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซีย เตือนว่า การที่ฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะทางยุโรป กำลังหารือเรื่องการันตีความปลอดภัยของเคียฟหลังจากข้อตกลงสันติภาพมีผลบังคับใช้ โดยไม่มีรัสเซียร่วมด้วยนั้น เป็นเพียงแนวทางอุดมคติที่ไม่มีทางสำเร็จ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แจ้งกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน และพวกผู้นำของชาติยุโรป ระหว่างหารือกันในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เขามุ่งมั่นผลักดันข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมา 3 ปีครึ่ง พร้อมกับระบุว่าระหว่างที่เขาประชุมซัมมิตกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่อะแลสกาวันศุกร์ (15) ที่แล้ว ประมุขทำเนียบเครมลินบอกว่า ยินยอมให้ฝ่ายตะวันตกหารือดำเนินการเพื่อรับประกันความมั่นคงให้แก่ยูเครน ภายหลังทำข้อตกลงสันติภาพ แต่ห้ามไม่ให้องค์การนาโตรับยูเครนเป็นสมาชิก
ปรากฏว่าทั้งเซเลนสกี้และพวกผู้นำยุโรปรีบขานรับ และเร่งรัดแผนการที่จะจัดตั้งและจัดส่งกำลังทหาร “ของกลุ่มประเทศที่เต็มใจ” เข้าไปดูแลรักษาสันติภาพในยูเครน
ทรัมป์ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะไม่ส่งทหารอเมริกันเข้าร่วมปฏิบัติการภาคพื้นดินในยูเครน แต่อาจให้การสนับสนุนทางอากาศ ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวยังระบุว่า วอชิงตันจะไม่ “เซ็นเช็คเปล่า” สนับสนุนการสู้รบของยูเครนอีกต่อไป
ทางด้านรองประธานาธิบดีแวนซ์ ให้สัมภาษณ์กับทีวีฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันพุธ (20 ส.ค.) ว่า เขาไม่คิดว่า อเมริกาควรแบกรับภาระดังกล่าว และทรัมป์คาดหวังให้ยุโรปรับบทบาทนำในเรื่องนี้และรับผิดชอบค่าใช้ส่วนส่วนใหญ่ในการรับประกันความมั่นคงแก่เคียฟ เนื่องจากยูเครนนั้นอยู่ในยุโรป
แวนซ์เสริมว่า รัสเซียต้องการดินแดนบางส่วนของยูเครน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่กองทัพมอสโกยึดได้แล้ว แต่ก็มีบางพื้นที่ที่ยังยึดไม่ได้
ปัจจุบัน รัสเซียยึดครองดินแดนในยูเครนราว 1 ใน 5 และทรัมป์บอกว่า “การแลกเปลี่ยนดินแดน” รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงเขตแดนเป็นส่วนสำคัญในการเจรจา ทั้งนี้ทรัมป์เองเคยบอกว่า รัสเซียต้องการดินแดนดอนบาส ซึ่งหมายถึงฐานทางอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของยูเครน ที่ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ กับแคว้นลูฮันสก์ โดยที่ทางรัสเซียอ้างว่าสามารถยึดลูฮันสก์ไว้ได้หมดแล้ว ขณะที่ฝ่ายตะวันตกบอกว่าแคว้นโดเนตสก์นั้น ทัพหมีขาวยึดไปได้ราว 70%
ทว่า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ยังคงยืนกรานมาโดยตลอด คัดค้านการยกดินแดนให้รัสเซีย กระนั้น เคียฟขาดแสนยานุภาพทางทหารที่จะชิงดินแดนกลับมา อีกทั้งมีอำนาจต่อรองทางการทูตจำกัดในการบังคับให้รัสเซียถอนทหารออกไปโดยเร็ว
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันพุธเช่นกัน รัฐมนตรีต่างประเทศลาฟรอฟ ของรัสเซีย ออกมากล่าวเตือนว่า การหารือเกี่ยวกับการการันตีความมั่นคงให้แก่ยูเครน โดยไม่ให้รัสเซียเข้าร่วมด้วยนั้น เป็นเพียงแนวทางอุดมคติที่ไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พวกผู้นำทางทหารของชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้จัดประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กันแล้วในวันอังคาร (19) เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดสำหรับข้อตกลงสันติภาพในยูเครนที่รวมถึงการรับประกันความมั่นคง
ลาฟรอฟยังวิจารณ์ว่า การพบปะระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกี้และพวกผู้นำยุโรปที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (18) เป็นความพยายามอย่างสะเปะสะปะด้วยความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับยูเครน
ในวันดังกล่าว ทรัมป์ประกาศว่า ปูติน ได้ตกลงที่จะพบเจรจากับเซเลนสกี้ และยอมรับการรับประกันความมั่นคงให้แก่ยูเครน แต่ทางรัสเซียยังไม่ได้มีการออกมายืนยันเรื่องนี้
นอกจากนั้น ลาฟรอฟยังบอกว่า ก่อนที่ซัมมิตระหว่างปูตินกับเซเลนสกี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการจัดเตรียมอย่างรอบคอบที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เกี่ยวกับความขัดแย้งเลวร้ายลง
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เซเลนสกี้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่มีการเผยแพร่ในวันพฤหัสฯ (21) โดยเขากล่าวว่า ตนพร้อมพบปูติน แต่ต้องหลังจากทางกลุ่มพันธมิตรซึ่งหนุนหลังยูเครน ตกลงเรื่องการรับประกันความมั่นคงลุล่วงแล้วเท่านั้น ซึ่งยูเครนต้องการให้แล้วเสร็จภายใน 7-10 วันเพื่อทำความเข้าใจว่า ประเทศใดพร้อมทำอะไรบ้างในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรของประเทศที่เต็มใจนี้ มีสหราชอาณาจักรและละฝรั่งเศส เป็นตัวตั้งตัวตี ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังคงมีความไม่แน่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี ชาติที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปนั้น มีกระแสคัดค้านจากหลายฝ่ายภายในประเทศ
เซเลนสกี้เสริมว่า หลังจากมีการตกลงกรอบโครงการรับประกันความมั่นคงแล้ว ทรัมป์ต้องการจัดซัมมิตระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งตัวเขาเห็นว่า การประชุมควรจัดขึ้นในประเทศยุโรปที่เป็นกลาง รวมทั้งไม่ต้องการให้จีนที่ให้การสนับสนุนมอสโกมาโดยตลอดมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ของเขา เกิดขึ้นขณะที่รัสเซียส่งโดรนและขีปนาวุธจำนวนหลายร้อย โจมตียูเครนตลอดคืนวันพุธ ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดนับจากกลางเดือนกรกฎาคม และทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีกหลายคน ซึ่งทำให้พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนโวยว่า เป็นการตอกย้ำว่า รัสเซียไม่ได้จริงจังกับเรื่องข้อตกลงสันติภาพ
ขณะเดียวกัน เซเลนสกี้ประกาศว่า ยูเครนประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธร่อนพิสัยกลางที่ชื่อว่า ฟลามิงโก ที่สามารถโจมตีเป้าหมายไกลถึง 3,000 กิโลเมตร โดยจะเริ่มทำการผลิตล็อตใหญ่เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)