xs
xsm
sm
md
lg

มีแววสาหัส!สื่อกัมพูชาโอดโอย เขมรส่อเจอมรสุมทางศก.หลายด้าน ผลจากการเปิดศึกกับไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สื่อมวลชนกัมพูชาเผยแพร่บทความ ระบุถึงผลกระทบในทางเศรษฐกิจที่คนเขมรเสี่ยงต้องเผชิญ ท่ามกลางศึกพิพาทตามแนวชายแดนกับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและภาคแรงงาน รวมถึงเงินที่แรงงานข้ามชาติกัมพูชาที่เคยทำงานในไทย ส่งกลับไปหล่อเลี้ยงครอบครัวในแต่ละเดือน

เว็บไซต์ข่าวเขมรไทม์ส รายงานว่าเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ทหารกัมพูชาและไทยปะทะกันบริเวณสามเหลี่ยมมรกต แนวชายแดนร่วมระหว่างกัมพูชา ไทยและลาว เหตุเผชิญหน้าทำให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นายและจุดชนวนความเสื่อมทรามลงอย่างหนักในความสัมพันธ์ทวิภาคี

ด่านชายแดนถูกปิดตาย กัมพูชากำหนดมาตรการแบนนำเข้าผัก ผลไม้ การโทรคมนาคม และพลังงาน ขณะที่ต่างฝ่ายยังคงกล่าวหากันว่าเป็นบ่อเกิดแห่งการปะทะ

ท่ามกลางมิติด้านการเมืองและความมั่นคงยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทางขแมร์ไทม์สยอมรับว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจเริ่มสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้วในกัมพูชา โดยเฉพาะในภาคการค้า, การท่องเที่ยว, การพลัดถิ่นของครอบครัวและแรงงานที่อพยพกลับมาตุภูมิ

การค้า : ผลกระทบอาจเป็นไปอย่างจำกัด แต่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะกับบางภาคส่วน

คำสั่งแบนนำเข้าอย่างเจาะจงของกัมพูชา มีเป้าหมายหลักครอบคลุมสินค้าที่ทางกัมพูชามีความได้เปรียบอยู่ก่อนแล้ว และมีพื้นฐานการผลิตภายในประเทศ

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 กัมพูชาส่งออกผักและผลไม้คิดเป็นมูลค่า 1,450 ล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าจากไทยเพียง 9,6 ล้านดอลลร์ ศักยภาพในการทดแทนค่อนข้างสูง และเป็นไปได้ที่จะสามารถชดเชยครอบคลุมสินค้าที่ถูกแบนทั้งหมด

พลังงานนำเข้าจากไทย ในนั้นรวมถึงดีเซล เบนซิน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำมันเครื่องบิน ก็ถูกแบนเช่นกัน แต่ซัพพลายเออร์ทางเลือกอื่นๆ อาทิสิงคโปร์และเวียดนาม สามารถอุดช่องว่างดังกล่าว ลดความปั่นป่วนในระยะยาว

อย่างไรก็ตามขแมร์ไทม์ระบุการนำเข้าในภาคการเกษตรบางอย่างยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวล กัมพูชานำเข้าปุ๋ยจากไทย 41 ล้านดอลลาร์(ราว 1,330 ล้านบาท) ในปี 2024 แม้ เวียดนาม สามารถชดเชยปุ๋ยเหล่านี้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่กับมันสำปะหลังแล้วเป็นสิ่งที่อ่อนแอมากที่สุด จากการปิดชายแดนติดกับไทย

กัมพูชา ส่งออกมันสำปะหลังไปยังไทย คิดเป็นมูลค่าราวๆ 130 ล้านดอลลาร์(ราว 4,200 ล้านบาท) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 ถ้าความขัดแย้งลากยาวและการขนส่งยังคงถูกจำกัด ทางขแมร์ไทม์สเชื่อว่าการส่งออกเหล่านี้อาจลดลงอย่างรุนแรง จนกว่าจะสามารถยกระดับศักยภาพการแปรรูปภายในประเทศ สำหรับรองรับตลาดทางเลือกอื่นอย่างเช่นจีน

อย่างไรก็ตามขแมร์ไทม์สระบุว่าเวลานี้ผลกระทบยังคงจำกัดวงอยู่ที่เส้นทางการค้าทางบก โดยการขนส่งทางทะเลและทางอากาศยังคงสามารถปฏิบัติการได้ ซึ่งมันจะมอบความยืดหยุ่นทางห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญแก่กัมพูชา

การท่องเที่ยว : ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด

ภาคการท่องเที่ยวเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักหน่วงอย่างทันทีทันไทย ไทยเป็นแหล่งต้นทางนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในปี 2024 โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมาเยือน 2.15 ล้านคน คิดป็นสัดส่วนถึง 32% ของผู้มาเยือนทั้งหมด ตามหลังเหตุปะทะ จำนวนตั๋วนครวัดที่จำหน่ายแก่คนไทยในเดือนกรกฏาคม ลดลงถึง 92.32% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฏาคม 2024

ความกังวลด้านความปลอดภัยไม่ได้ส่งผลกระทบกับนักท่องเที่ยวไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเดินทางจากประเทศอื่นๆที่วิตกต่อสถานการณ์ลุกลามบานปลายตามแนวชายแดน การหดตัวของนักท่องเที่ยวคุกคามวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาจำนวนมาก ที่พึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยว ทั้งนี้แม้ข้อมูลการจ้างงานอย่างเป็นทางการยังไม่มีการเผยแพร่ออกมา แต่การท่องเที่ยวในภาพรวมสนับสนุนตำแหน่งงานโดยตรง 510,000 ตำแหน่งในปี 2024 ขณะที่พ่อค้าแม่ค้า ร้านอาหารและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เสี่ยงสูญเสียรายได้หรือตกงานมากที่สุด

ครอบครัวผู้พลัดถิ่น : สูญเสียวิถีชีวิตและเสี่ยงเป็นหนี้

ความขัดแย้งทำให้ประชาชนที่อยู่ตามพื้นที่ชายแดนต้องพลัดถิ่นราวๆ 120,000 คน ก่อความปั่นป่วนแก่ฟาร์ม กิจกรรมทางธุรกิจหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตพืชผลและปศุสัตว์ การสูญเสียรายได้บ่อยทำลายความสามารถของพวกเขาในการใช้หนี้ เพิ่มความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง เปิดตัวโครงการผ่อนปรนหนี้ชั่วคราวแก่ทหาร ครอบครัวผู้ไร้ถิ่นฐาน และผู้ต้องการความช่วยเหลือ มอบสายประคับประคองชีพช่วงสั้นๆ อย่างไรก็ตามทางขแมร์ไทม์สระบุว่าหากความขัดแย้งยืดเยื้อต่อไป ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นว่ามาตรการชั่วคราวดังกล่าวอาจไม่เพียงพอ

แรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับ : คลื่นความช็อคจากการสูญเสียเงินที่ส่งกลับประเทศและความตึงเครียดในตลาดแรงงาน

ขแมร์ไทม์สระบุ ประมาณการว่ามีแรงงานข้ามชาติกัมพูชาราว 1.2 ล้านคนในไทย จนถึงเดือนพฤษภาคม คนเหล่านี้ส่งเงินกลับประเทศอย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์(32,000 ล้านบาท) ในปี 2024 เงินจำนวนนี้มีความสำคัญยิ่งสำหรับการบริโภคภายในครัวเรือนและจ่ายหนี้

ถ้าความสัมพันธ์ทางการทูตเลวร้ายลง ขแมร์ไทม์สระบุว่าแรงงานอีกจำนวนมากอาจต้องเดินทางกลับเพิ่มเติม ในระยะสั้นมันจะทำให้ยอดส่งเงินกลับประเทศลดลงอย่างมหาศาล เพิ่มความตึงเครียดในด้านหนี้ครัวเรือน

ส่วนความท้าทายในระยะกลางนั้นขึ้นอยู่กับว่าตลาดแรงงานจะสามารถดูดซับได้มากแค่ไหน โดยจนถึงเดือนสิงหาคม กัมพูชามีการเปิดงานใหม่ราวๆ 100,000 อัตรา ถือว่าเล็กน้อยมากและไม่เพียงพอรองรับแรงงานมหาศาลที่เดินทางกลับประเทศ ขแมร์ไทม์สระบุว่าหากปราศจากการสร้างงานและพัฒนาทักษะแรงงานควบคู่กันไป ตัวเลขคนว่างงานจะพุ่งขึ้นกว่านี้ โหมกระพือความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ

รายงานของขแมร์ไทม์ส แนะนำว่าเพื่อจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรพัฒนาเส้นทางลอจิสติกส์ทางเลือกอื่น สำหรับผักและผลไม้ภายในประเทศ สนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีในการยกระดับการผลิต และลงทุนในโรงงานแปรรูป เพื่อแปรรูปมันสำปะหลังสำหรับการส่งออกไปยังจีนและตลาดอื่นๆ

ในด้านการท่องเที่ย ขแมร์ไทม์สแนะนำว่าควรมุ่งเน้นทำการตลาดในจุดหมายปลายทางอื่นๆ อย่างเช่นสีหนุวิลล์, กำปอต, แกบ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งหลาย ขณะเดียวกันก็เล็งเป้าไปที่ตลาดสำคัญๆอย่าง จีน, เวียดนามและเกาหลี

ขแมร์ไทม์ส เสนอว่ารัฐบาลควรเดินหน้าจับตาสถานะหนี้ของครอบครัวผู้พลัดถิ่นฐาน เตรียมเงินทุนฉุกเฉินสำหรับขยายกรอบเวลาผ่อนปรนหนี้ และมอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า และส่งเสริมการผลิตในภาคการเกษตร เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตครั้งที่คืนสู่เสถียรภาพแล้ว

โครงการฝึกทักษะใหม่และโครงการสาธารณประโยชน์ที่ใช้แรงงาน อาจช่วยดูดซับแรงงานที่เดินทางกลับประเทศเข้าสู่ภาคต่างๆที่มีศักยภาพสูง อาทิเช่น ก่อสร้าง การผลิตและแปรรูปทางการเกษตร แม้มีความท้าทายต่างๆนานาเหล่านี้ วิกฤตได้มอบโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ที่จะทวงคืนสวนแบ่งตลาดจากไทยและช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มดีขยายตัว ตามคำแนะนำของขแมร์ไทม์ส

กล่าวโดยสรุป ขแมร์ไทม์ส ระบุว่าแม้การค้าของกัมพูชาได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากมาตรการแบนไทย และยังคงมีช่องทางทางเลือกอื่นในภาคการท่องเที่ยว ส่วนชุมชนคนพลัดถิ่นและครัวเรือนที่พึ่งพิงเงินส่งกลับประเทศ ได้รับแรงกดดันอย่างสาหัสในระยะสั้น แต่มันจำเป็นที่ต้องมีการกำหนดแผนลดผลกระทบอย่างครอบคลุม เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ใดๆ

ขแมร์ไทม์สเขียนปิดท้ายว่า ทั้ง 2 ประเทศควรยังคงมุ่งมั่นต่อการทูตและการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ ยึดถือข้อตกลงหยุดยิง ฟื้นฟูสันติภาพและกลับมาเปิดการค้ากันอีกครั้ง และในท้ายที่สุดความขัดแย้งติดอาวุธไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ขณะที่มันรังแต่จะก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความทุกข์ทรมานของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย
(ที่มา:ขแมร์ไทม์ส)


กำลังโหลดความคิดเห็น