xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา-ทรัมป์ถูกมองอ่อนปวกเปียก ซัมมิตกับปูตินคือชัยชนะของรัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอพี – ก่อนเจอกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เสียงแข็งว่า รัสเซีย “โดนหนักแน่” ซึ่งรวมถึงมาตรการแซงก์ชันใหม่ ถ้าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่ตกลงหยุดยิงในยูเครน แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน

หลังจากพบกันจริงเมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) ทรัมป์กลับยกเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว และเปิดเผยภายหลังหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครน และผู้นำยุโรปอีกหลายคนว่า วิธีที่ดีที่สุดในการยุติสงครามในยูเครนคือการมุ่งทำข้อตกลงสันติภาพโดยตรง ไม่ใช่แค่ข้อตกลงหยุดยิงที่มักล้มเหลว

มีรายละเอียดออกมาน้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่ทรัมป์กับปูตินคุยกันระหว่างซัมมิตที่อะแลสกา ขณะที่ทำเนียบขาวไม่ตอบกลับข้อความขอความคิดเห็นที่เอพีส่งไปเมื่อวันเสาร์ (16 ส.ค.)

ขณะเดียวกัน แม้ผู้นำยุโรปโล่งใจที่ทรัมป์ไม่ทำข้อตกลงยกดินแดนให้รัสเซียหรือเข้าข้างมอสโก แต่ซัมมิตครั้งนี้เปิดโอกาสให้ปูตินฟื้นสถานะของตนเองในเวทีโลก และอาจทำให้กองทัพรัสเซียมีเวลาตะลุยตีเมืองยูเครนมากขึ้น

ฟิโอนา ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาอาวุโสด้านรัสเซียของสภาความมั่นคงแห่งชาติในยุคทรัมป์ 1.0 วิจารณ์ว่า นอกจากไม่มีความคืบหน้าใดๆ แล้ว หลังซัมมิต สถานะของทรัมป์ในเวทีโลกยังอ่อนแอลงเพราะการกลับลำของตัวเอง ผู้นำอื่นๆ อาจมองทรัมป์ว่า ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเป็นอัจฉริยะในการผลักดันข้อตกลงแบบที่ตัวเขาคิดเอง ฮิลล์สำทับว่า ทรัมป์กำลังวิ่งชนก้อนหิน ซึ่งก็คือปูติน ที่ไม่ได้ต้องการอะไรจากทรัมป์ นอกจากยูเครน

ที่อเมริกา เดโมแครตต่างกังวล เพราะในช่วงเวลาสำคัญที่ดูเหมือนสามารถทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ แต่ทรัมป์กลับปรบมือให้ปูตินที่เดินมาบนพรมแดงระหว่างพิธีต้อนรับการเดินทางเยือนอเมริกาครั้งแรกในรอบทศวรรษ

ทรัมป์ดูปลาบปลื้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปูตินย้ำแล้วย้ำอีกว่า รัสเซียคงไม่ต้องบุกยูเครนถ้าตอนนั้นทรัมป์อยู่ในทำเนียบขาว แทนที่จะเป็นโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต

ผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่ใช้โอกาสขณะแถลงข่าวหน้ากล้องในการตำหนิปูตินที่เปิดฉากรุกรานครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับกลายเป็นประมุขวังเครมลินที่เอ่ยปากก่อนและเชิญทรัมป์ไปเยือนมอสโกในซัมมิตรอบหน้า

วุฒิสมาชิกแจ็ค รีด จากพรรคเดโมแครตที่เป็นสมาชิกสำคัญในคณะกรรมาธิการการทหารของวุฒิสภา บอกว่า ตนสนับสนุนแนวทางการทูต แต่การสร้างสันติภาพต้องดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบ

รีดเสริมว่า แทนที่จะอ่อนข้อให้ปูติน อเมริกาควรร่วมกับพันธมิตรใช้มาตรการแซงก์ชันใหม่แบบกำหนดเป้าหมายและแข็งกร้าวกับรัสเซียเพื่อเพิ่มความกดดันทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ทรัมป์พยายามสร้างภาพตัวเองเป็นผู้สร้างสันติภาพ โดยอ้างความดีความชอบในการช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ไทยกับกัมพูชา ตลอดจนถึงการเป็นตัวกลางผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างรวันดากับสาธารณรัฐคองโก และระหว่างผู้นำอาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจานในการยุติการสู้รบที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปี ซึ่งทรัมป์หมายมั่นว่า จะได้ครอบครองโนเบลสันติภาพ และได้รับการเสนอชื่อโดยพันธมิตรมากมาย

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถผลักดันความคืบหน้าสำหรับ 2 กรณีความขัดแย้งที่สร้างปัญหาที่สุดในโลกคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน กับปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซาเพื่อกวาดล้างฮามาส

ทางด้านสมาชิกรีพับลิกันและพันธมิตรของทรัมป์มีปฏิกิริยาน้อยมากเกี่ยวกับซัมมิตที่อะแลสกา ถ้าจะมีที่ออกมาพูดก็เพียงแค่เรียกร้องให้คณะบริหารเจรจาต่อและดำเนินมาตรการที่สร้างสรรค์ หรือไม่ก็หลับหูหลับตาเชียร์ทรัมป์

วุฒิสมาชิกลิซา เมอร์โคว์สกี โพสต์หลังซัมมิตว่า แม้การแถลงข่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมน้อยมาก แต่เธอมองแง่ดีว่า มีสัญญาณความคืบหน้าบางอย่าง และเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้นำทั้งคู่พูดถึงการประชุมครั้งต่อไปซึ่งยูเครนต้องมีส่วนร่วมและสามารถตกลงยอมรับเงื่อนไขต่างๆ อย่างเสรี

วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม พันธมิตรใกล้ชิดทรัมป์ บอกว่า ภูมิใจมากที่ทรัมป์พบกับปูตินตัวต่อตัว และมองแง่ดีอย่างระมัดระวังว่า สงครามอาจสิ้นสุดก่อนคริสต์มาส ถ้ามีการประชุมระหว่างทรัมป์ ปูติน และเซเลนสกี้ ส่วนพันธมิตรทรัมป์บางคนถึงขั้นเชียร์ว่า แค่เจอกับปูตินก็ถือเป็นความสำเร็จแล้ว

แต่สำหรับยุโรป ซัมมิตครั้งนี้ถือเป็นการรัฐประหารทางการทูตครั้งสำคัญสำหรับปูติน ที่พยายามอย่างมากที่จะหลุดพ้นจากการถูกโดดเดี่ยวทางภูมิรัฐศาสตร์

ดมิตรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียและปัจจุบันเป็นรองประธานสภาความมั่นคง ยกย่องซัมมิตครั้งนี้ว่า เป็นความคืบหน้าสำคัญในการฟื้นการเจรจาระดับสูงระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน และบรรยายว่า การพูดคุยเป็นไปอย่างสงบ ไม่มีการยื่นคำขาดหรือข่มขู่

คาร์ล บิลต์ อดีตนายกรัฐมนตรีสวีเดน กล่าวว่า ซัมมิตที่อะแลสกาเป็นชัยชนะอย่างชัดเจนสำหรับปูตินที่ไม่ต้องยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย และเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของทรัมป์ เนื่องจากไม่มีแม้แต่แนวโน้มการหยุดยิง

“สิ่งที่โลกเห็นคือ อเมริกาที่อ่อนปวกเปียก” บิลต์โพสต์บนเอ็กซ์
กำลังโหลดความคิดเห็น