รัสเซียอาจยอมสละพื้นที่เล็กๆ บางส่วนที่ยึดครองอยู่ในยูเครน ขณะที่เคียฟต้องยอมสูญเสียดินแดนกว้างใหญ่ในภาคตะวันออกซึ่งมอสโกยังไม่สามารถยึดไว้ได้ ภายใต้ข้อเสนอสันติภาพที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน หารือกันในการประชุมซัมมิตที่อะแลสกาเมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เข้าถึงแนวคิดของผู้นำมอสโก
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยเพียง 1 วันหลังจากที่ ทรัมป์ และ ปูติน พบกันที่ฐานทัพอากาศในรัฐอะแลสกา ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซียนับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนขึ้นในปี 2022
ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนมีกำหนดจะเดินทางไปที่วอชิงตันในวันจันทร์ (18) เพื่อหารือกับ ทรัมป์ ถึงโอกาสในการทำข้อตกลงยุติสงคราม
แม้ซัมมิตครั้งนี้จะยังไม่อาจบรรลุข้อตกลงหยุดยิงอย่างที่ผู้นำสหรัฐฯ คาดหวังไว้ แต่ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับ ฌอน แฮนนิตี จากสื่อ Fox News ว่า ตนและ ปูติน ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนดินแดนและการค้ำประกันความมั่นคงให้กับยูเครน และ “เห็นพ้องกันแล้วเป็นส่วนใหญ่”
“ผมคิดว่าเราใกล้บรรลุข้อตกลงได้แล้ว ยูเครนจำเป็นต้องยอมรับมัน แต่บางทีพวกเขาอาจจะตอบว่าไม่ก็ได้”
แหล่งข่าว 2 คนซึ่งไม่ประสงค์ออกนามเนื่องจากเป็นประเด็นละเอียดอ่อนให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า ข้อเสนอของ ปูติน ที่พวกเขารับรู้มานั้นได้จากการหารือระหว่างพวกผู้นำยุโรป สหรัฐฯ และยูเครน และยังไม่ใช่ข้อเสนอที่สมบูรณ์
ทรัมป์ ได้สรุปผลการประชุมกับ ปูติน ให้ เซเลนสกี และบรรดาผู้นำยุโรปได้รับทราบในช่วงเช้าวันเสาร์ (16)
ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าข้อเสนอของ ปูติน เป็นเพียงการโยนหินถามทางเพื่อนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพิ่มเติม หรือว่าเป็น “คำขาด” ที่ไม่สามารถประนีประนอมได้
หากมองแบบผิวเผิน ข้อเรียกร้องบางประการน่าจะเป็นความท้าทายใหญ่หลวงที่คณะผู้นำยูเครนยากจะยอมรับได้
ปูติน ปฏิเสธการหยุดยิงจนกว่าสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงแบบครอบคลุม ซึ่งเท่ากับไม่รับข้อเรียกร้องหลักของ เซเลนสกี ที่ประเทศถูกขีปนาวุธทิ้งตัวและฝูงโดรนรัสเซียบุกถล่มอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
ภายใต้ข้อเสนอของผู้นำหมีขาว เคียฟจะต้องถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากภูมิภาคโดเนตสก์และลูฮันสก์ เพื่อแลกกับการที่รัสเซียจะยอมแช่แข็งแนวรบในพื้นที่ตอนใต้อย่างเคียร์ซอนและซาปอริซเซีย ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว
ที่ผ่านมารัฐบาลยูเครนปฏิเสธแข็งขันว่าจะไม่ยอมถอยออกจากพื้นที่โดเนสตก์ซึ่งมีทหารเคียฟเข้าไปฝังตัวอยู่ และยูเครนอ้างว่าเป็นแนวป้องกันที่จำเป็นยิ่งยวดเพื่อไม่ให้รัสเซียโจมตีลึกเข้าไปมากกว่านี้
แหล่งข่าวระบุว่า รัสเซียยื่นข้อเสนอที่จะยอมคืนพื้นที่ส่วนเล็กๆ ในแคว้นซูมีและคาร์คิฟทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้กับยูเครน
ปัจจุบันทหารรัสเซียสามารถยึดดินแดนบางส่วนในซูมีและคาร์คิฟเป็นพื้นที่ราว 440 ตารางกิโลเมตร ตามข้อมูลจากแผนที่ Deep State ของฝ่ายยูเครน ในขณะที่ทหารยูเครนยังคงควบคุมพื้นที่อยู่ราวๆ 6,600 ตารางกิโลเมตรในโดเนตสก์และลูฮันสก์ หรือที่เรียกรวมกันว่า “ดอนบาส”
แม้เจ้าหน้าที่อเมริกันจะไม่พูดออกมา แต่แหล่งข่าวระบุว่า พวกเขาทราบว่า ปูติน ต้องการการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า คาบสมุทรไครเมียที่ถูกยึดไปจากยูเครนตั้งแต่ปี 2014 เป็นดินแดนของรัสเซีย
ทั้งนี้ ไม่ชัดเจนว่า ปูติน ต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับเท่านั้น หรือรวมไปถึงพวกชาติตะวันตกและยูเครนด้วย ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรตะวันตกปฏิเสธไม่ยอมรับการปกครองของมอสโกเหนือคาบสมุทรดังกล่าว
แหล่งข่าวเผยด้วยว่า ปูติน ยังคาดหวังให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียบางส่วน แต่ยังระบุไม่ได้ว่าหมายถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ หรือรวมของพวกชาติยุโรปด้วย
ทรัมป์ ระบุในวันศุกร์ (15) ว่า ตนยังไม่จำเป็นจะต้องพิจารณาใช้มาตรการคว่ำบาตรตอบโต้ประเทศอื่นๆ เช่น จีน โทษฐานที่ยังรับซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แต่อาจจะเริ่มคิด “ภายในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า”
ปูติน ยังยืนกรานว่ายูเครนจะต้องไม่ถูกรับเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แต่ดูเหมือนจะเปิดกว้างให้เคียฟ ได้รับการค้ำประกันความมั่นคงบางอย่าง ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว
อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรในทางปฏิบัติ
บรรดาผู้นำยุโรปเปิดเผยว่า ทรัมป์ ได้หารือเรื่องการค้ำประกันความมั่นคงให้ยูเครน และยังเสนอแนวคิดในการมอบการค้ำประกันความมั่นคงในรูปแบบใกล้เคียงกับ “มาตรา 5” ของสนธิสัญญานาโต
สำหรับมาตรา 5 นั้นเป็นหลักการป้องกันร่วม ซึ่งระบุว่าการโจมตีด้วยอาวุธต่อรัฐสมาชิกหนึ่งรายถือเป็นการโจมตีต่อสมาชิกทั้งหมด และกำหนดให้สมาชิกแต่ละประเทศต้องให้ความช่วยเหลือแก่รัฐสมาชิกที่ถูกโจมตี ซึ่งอาจรวมถึงการใช้กำลังทหาร
การได้เข้าร่วมนาโตถือเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่เคียฟมุ่งมาดปรารถนา และถูกระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ
ข้อเสนอของผู้นำรัสเซียยังรวมถึงการประกาศให้ภาษารัสเซียเป็นหนึ่งในภาษาราชการในบางภูมิภาคหรือทั่วทั้งยูเครน และให้สิทธิแก่คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียในการปฏิบัติงานอย่างอิสระ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว
หน่วยงานความมั่นคงยูเครนกล่าวหาว่าคริสตจักรนิกายออร์โธดอกซ์ซึ่งเชื่อมโยงกับมอสโกสนับสนุนสงครามของรัสเซียโดยการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อที่สนับสนุนรัสเซีย และให้ที่พักพิงแก่พวกสายลับ ซึ่งทางคริสตจักรปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และระบุว่าได้ตัดความสัมพันธ์ทางศาสนากับมอสโกแล้ว
ยูเครนได้ผ่านร่างกฎหมายแบนองค์กรทางศาสนาที่เชื่อมโยงกับรัสเซีย ซึ่งถือว่าคริสตจักรนิกายออร์โธดอกซ์เป็นหนึ่งในองค์กรลักษณะนี้ ทว่ายังไม่ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว
ที่มา: รอยเตอร์