(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/is-trump-really-winning-his-trade-war/)
Is Trump really winning his trade war?
by Peter Draper and Nathan Howard Gray
05/08/2025
ตรงกันข้ามกับที่ทรัมป์กล่าวอ้างว่าได้รับชัยชนะในการทำดีลการค้ากับประเทศอื่นๆ อีกไม่ช้าไม่นานสหรัฐฯจะตกอยู่ในโลกแห่งการบาดเจ็บบอบช้ำทางเศรษฐกิจซึ่งภาษีศุลกากรเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นมา
สิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นการอัปเดตและเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากร “ต่างตอบแทน” (“reciprocal” tariff rates) ที่เขาได้ระงับเอาไว้ก่อนชั่วคราวมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ดังนั้น นับจากนี้ไปสินค้าเข้าของบรรดาคู่ค้าสหรัฐฯหลายสิบราย จะเริ่มต้นถูกวอชิงตันเก็บภาษีศุลกากรประเภทนี้ ในอัตราลดหลั่นกันไประหว่าง 10% จนถึง 50%
ก่อนหน้านี้ในปีนี้ หลังจากที่ทั้งภาษีศุลกากรพื้นฐาน (baseline tariffs) ซึ่งเรียกเก็บจากคู่ค้าแทบราย และภาษีศุลกากรรายเซกเตอร์ตลอดจนสินค้าเฉพาะ (sector-specific tariffs) ซึ่งทรัมป์ประกาศเรียกเก็บ (เป็นการต่างหากจากภาษีศุลกากรต่างตอบแทน) เริ่มมีผลบังคับใช้ พวกนักเศรษฐศาตร์จำนวนมากต่างพากันทำนายว่าจะต้องเกิดความปั่นป่วนอลหม่านทางเศรษฐกิจขึ้นมา ทว่าจวบจนกระทั่งถึงขณะนี้ ผลกระทบในทางเงินเฟ้อกลับอยู่ในระดับน้อยกว่าที่ผู้คนจำนวนมากทำนายเอาไว้
กระนั้นก็ตาม มีสัญญาณหลายอย่างที่ชวนให้วิตกกังวล ซึ่งทั้งหมดอาจจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายขึ้นมาในเร็ววันนี้ ขณะที่ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจกำลังไหลบ่าอย่างไม่ขาดสายผ่านไปยังบรรดาผู้บริโภคสหรัฐฯ
ถอดรหัสข้อตกลงการค้าที่ทรัมป์ทำกับประเทศต่างๆ
การปรับเปลี่ยนอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯเรียกเก็บเอากับประเทศและดินแดนคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลกคราวนี้ ไม่ได้เป็นพฤติการณ์ของการทำสงครามทางเศรษฐกิจแบบเปะปะไร้กฎเกณฑ์ ตรงกันข้ามเมื่อมองกันโดยภาพรวม มันกลับเผยให้เห็นว่ามีการจัดแบ่งเรียงลำดับชั้น และมีร่องรอยของระเบียบแบบแผน
กล่าวคือ พวกประเทศที่กำลังขาดดุลการค้าทางด้านตัวสินค้าอยู่กับสหรัฐฯ (นั่นคือกำลังซื้อสินค้า เป็นมูลค่ามากกว่าที่ขายให้สหรัฐฯ) โดยที่ยังมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงอยู่กับสหรัฐฯอีกด้วย สุดท้ายแล้วถูกจัดเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนในอัตรา 10% ซึ่งหนึ่งในชาติที่อยู่ในข่ายนี้ก็รวมไปถึงออสเตรเลียด้วย
สำหรับ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แม้ทั้งคู่ต่างมีความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ แต่ก็ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 15% เหตุผลน่าจะเนื่องจากพวกเขาต่างได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯอยู่เยอะมาก
แล้วสำหรับประเทศและดินแดนอื่นๆ ที่เหลือในเอเชียล่ะ? พวกนี้แหละคือเป้าหมายที่ทรัมป์กำลังลงมือบีบคั้นอย่างจริงจัง ทั้งนี้ มาถึงตอนนี้ชาติเอเชียเหล่านี้ถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรเฉลี่ยแล้วที่ระดับ 22.1%
เหล่าประเทศที่ไปเจรจากับทรัมป์ เป็นต้นว่า ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ปากีสถาน, และฟิลิปปินส์ ทั้งหมดต่างถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ซึ่งถือว่าเป็น “อัตราลดราคา” ให้แก่พวกประเทศเอเชียซึ่งแสดงความเต็มใจยอมอ่อนข้อเอื้อผลประโยชน์ด้านต่างๆ ให้แก่สหรัฐฯ
ขณะที่ อินเดีย กลับเจออัตราสูงถึง 25% แล้วยังเป็นไปได้ว่าจะเจอบทลงโทษเพิ่มเติมอีกจากการที่ยังคงยืนกรานที่จะทำการค้าขายกับรัสเซีย
แทบไม่มีประเทศไหนกล้าหือ
ในสงครามการค้าที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรหรอกที่ถึงแม้มีหลายประเทศแสดงท่าทีฮึดฮัดจะตอบโต้ขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อแก้เผ็ดเอากับพวกสินค้าอเมริกันซึ่งนำเข้าประเทศพวกตนบ้าง ทว่าในที่สุดแล้วกลับไม่มีใครทำเช่นนั้นจริงๆ ยกเว้นแต่ จีน และ แคนาดา
เหตุผลของพวกที่ตัดสินใจไม่ตอบโต้ก็คือ การทำเช่นนั้นจะเป็นการขับดันให้ราคาผู้บริโภคในประเทศตนเองเพิ่มสูงขึ้น, เวลาเดียวกันก็เป็นการลดทอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ, อีกทั้งเป็นการเชื้อเชิญทรัมป์ให้ยกระดับเล่นใหญ่บานปลายออกไปอีก โดยเป็นไปได้ว่าจะมีการจำกัดลดทอนการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯที่ถึงอย่างไรก็เป็นตลาดซึ่งสามารถทำกำไรได้มากมาย กระนั้นก็ตาม จากการเลือกทำในทางตรงกันข้าม ชาติต่างๆ ที่เจรจาตกลง “ทำดีล” กับคณะบริหารทรัมป์ โดยสาระสำคัญแล้วก็คือการยอมรับอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนซึ่งสูงขึ้นจากเมื่อก่อน เพื่อจะได้รักษาหนทางในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯเอาไว้ต่อไป
สำหรับประเทศเหล่านี้จำนวนมากทีเดียว พวกเขายังต้องตกลงยินยอมเอื้อผลประโยชน์สำคัญๆ ให้แก่สหรัฐฯอีกด้วย เป็นต้นว่า การลดภาษีศุลกากรของตนเองซึ่งเก็บจากสินค้าออกสหรัฐฯ, การให้สัญญาที่จะปฏิรูปแก้ไขระเบียบกฎเกณฑ์ภายในประเทสบางอย่างบางประการ, และคำมั่นที่จะซื้อหาสินค้าสหรัฐฯต่างๆ หลายหลาก
การประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นต้นว่าในอินเดีย และเกาหลีใต้ บ่งบอกให้ทราบว่าเงื่อนไขผูกพันต่างๆ จากการเจรจาทำข้อตกลงภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ จำนวนมากทีเดียวไม่ได้เป็นที่นิยมชมชอบแต่อย่างใด
แม้กระทั่งสหภาพยุโรป ก็ยังตกลงทำดีลซึ่งยอมรับให้สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 15% --อันเป็นระดับที่ถ้าเป็นเพียงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นจะต้องรู้สึกกันว่าอียูไม่มีทางที่จะอ่อนข้อให้ ทั้งนี้การที่ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนของทรัมป์เต็มไปด้วยความสับสน ได้ส่งผลให้พวกผู้นำยุโรปวิตกกังวล และแทนที่จะเสี่ยงปล่อยให้สหรัฐฯถอนตัวออกไปในเชิงยุทธศาสตร์ จึงดูเหมือนพวกเขาตกลงยินยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องภาษีศุลกากร
ดูเหมือนว่ายังคงมีบางดีลซึ่งอยู่ในภาวะหยุดพักเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะในกรณีของไต้หวัน ซึ่งถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนในอัตรา 20% สูงยิ่งกว่าพวกคู่แข่งใกล้บ้านไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ ถึงแม้ทางการไต้หวันอ้างว่าจะยังคงมีการเจรจากับสหรัฐฯต่อไปอีก
หากพิจารณาอย่างแคบๆ เฉพาะในมิติของการเจรจาทำข้อตกลง มันย่อมเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อสรุปที่ว่า ทรัมป์เป็นผู้ชนะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจากทุกๆ คน –ยกเว้นจีนและแคนาดา เขาไม่เพียงสามารถบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราพุ่งสูงขึ้น เอากับประเทศจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จในการเจรจาเพื่อรับประกันให้พวกกิจการสหรัฐฯสามารถเข้าถึงตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งได้รับคำสัญญาจากพวกชาติคู่ค้าที่จะซื้อหาเครื่องบิน, สินค้าการเกษตร, และผลิตภัณฑ์พลังงานมูลค่ามหาศาล
ทำไมความปั่นป่วนอลหม่านทางเศรษฐกิจจึงยังไม่เกิดขึ้นมา
การบังคับเก็บภาษีศุลกากรเอากับสินค้าที่เข้าสู่สหรัฐฯ คือสิ่งที่จะส่งผลกลายเป็นการเก็บภาษีจากพวกผู้บริโภคและพวกอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยที่มันจะขับดันทั้งราคาพวกสินค้าที่ผลิตสำเร็จแล้ว (ผลิตภัณฑ์) และพวกสินค้าขั้นกลาง (ส่วนประกอบ) สำหรับใช้ในการผลิตพวกผลิตภัณฑ์
กระนั้น แล็ปงบประมาณของมหาวิทยาลัยเยล (Yale Budget Lab) ประมาณการเอาไว้ว่า ภาษีศุลกากรระลอกล่าสุดนี้จะเป็นเหตุให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นแค่ราว 1.8% ในปีนี้ ผลกระทบทางด้านเงินเฟ้อที่ดูไม่มากนี้ น่าจะเป็นผลจากการที่สินค้าส่งออกมายังสหรัฐฯ มีการ “ถ่ายโอนล่วงหน้า” ( front-loaded ) ตั้งแต่ก่อนที่อัตราภาษีศุลกากรใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยที่พวกผู้นำเข้าสหรัฐฯมากมายทีเดียวพากันเร่งสั่งสินค้าเข้ามาเก็บสะสมไว้ภายในประเทศก่อนหน้ากำหนดเส้นตายที่คณะบริหารทรัมป์ขีดเอาไว้
นอกจากนั้นมันยังอาจจะสะท้อนให้เห็นว่า มีบริษัทบางแห่งเลือกที่จะ “แบกรับภาษี” (eat the tariffs) เอาไว้อย่างน้อยก็บางส่วน โดยไม่ถ่ายเทต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งหมดไปยังลูกค้าของพวกเขา ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะสามารถประคับประคองสิ่งต่างๆ เอาไว้ได้จวบจนกระทั่งทรัมป์ “ปอดแหก” (chickens out) และมีการยกเลิกหรือลดภาษีศุลกากรลง
ใครกันแน่ที่จะต้องเป็นคนจ่าย
ถึงแม้ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ภาษีศุลกากรเป็นภาษีที่พวกประเทศอื่นๆ เป็นคนจ่าย แต่งานศึกษาวิจัยล้วนชี้ให้เห็นอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมาว่า พวกบริษัทและพวกผู้บริโภคสหรัฐฯนั่นแหละที่เป็นผู้แบกรับภาระจากภาษีศุลกากร สำหรับปีนี้ เจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของสหรัฐฯรายงานแล้วว่า ภาษีศุลกากรทำให้ต้นทุนของตนสูงขึ้น 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงไตรมาสสองของปี 2025
ภาษีศุลกากรอัตรา 50% รายการใหม่รายการหนึ่งที่เรียกเก็บจากพวกผลิตภัณฑ์ทองแดงกึ่งสำเร็จรูปนั้น กำหนดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ตอนที่มีการประกาศข่าวนี้ออกมาในเดือนกรกฎาคมนั้น มันก็ส่งผลให้ราคาทองแดงพุ่งพรวดขึ้นไป 13% ในวันเดียว เรื่องนี้ส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ลวดสายไฟฟ้าไปจนถึงพวกท่อประปา โดยที่ค่าใช้จ่ายในเรื่องเหล่านี้ในที่สุดแล้วก็จะถูกส่งผ่านต่อๆ มาจนถึงผู้บริโภคสหรัฐฯ
อัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯเวลานี้อยู่ที่ 18.3% ถือเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1934 เป็นต้นมา โดยเป็นการเพิ่มฮวบฮาบขึ้นมาจากแค่ 2.4% เมื่อตอนที่ทรัมป์ขึ้นครองตำแหน่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยโดยคิดคำนวณน้ำหนักจากการค้าเช่นนี้ หมายความว่าสำหรับสินค้านำเข้าโดยทั่วไป ชาวอเมริกันจะต้องจ่ายค่าภาษีเพิ่มขึ้นมาเกือบๆ หนึ่งในห้าทีเดียว
ระฆังเตือนภัย
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (US Federal Reserve หรือ Fed) แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระดับราคาเหล่านี้ และในตอนสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เลือกที่จะประคองอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับปัจจุบันของมัน ถึงแม้ทรัมป์พยายามกดดัน เจอโรม เพาเวลล์ (Jerome Powell) ประธานเฟดอย่างหนักหน่วง
และในวันที่ 1 สิงหาคม ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่ออกมาในสหรัฐฯก็แสดงให้เห็นว่ากำลังมีการชะลอตัวลงอย่างสำคัญทั้งในเรื่องการสร้างงาน, มีสัญญาณน่ากังวลบางประการในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ, รวมทั้งสัญญาณเบื้องต้นของภาวะอัมพาตของการลงทุนในภาคธุรกิจ สืบเนื่องจากความไม่แน่ไม่นอนทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ ทรัมป์ ประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทรัมป์ได้ตอบโต้รายงานที่ระบุถึงความย่ำแย่เช่นนี้ ด้วยการสั่งปลดผู้ตรวจการ (commissioner) ของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (US Bureau of Labour Statistics) ออกจากตำแหน่งในทันที จนกลายเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความตื่นตระหนก เพราะก่อให้เกิดความวิตกกังวลกันอย่างกว้างขวางว่า ในอีกไม่ช้าไม่นานพวกข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ อาจถูกทำให้กลายเป็นเรื่องการเมืองไปเสียทั้งหมด
กระนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างเลวร้ายที่สุดก็ยังคงอาจจะปรากฏให้เห็นอยู่ดีในไม่ช้าไม่นานต่อจากนี้ ผลพวงต่อเนื่องภายในประเทศจากพวกนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ น่าที่จะสูงลิ่วพอๆ กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจอันใหญ่โตมโหฬารที่เขากำหนดขึ้นมาทีเดียว
ปีเตอร์ เดรเปอร์ เป็นศาสตราจารยและผู้อำนวยการบริหารของ สถาบันเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (Institute for International Trade) และผู้อำนวยการของศูนย์การค้าและสิ่งแวดล้อม ฌอง มอนเนต (director of the Jean Monnet Centre of Trade and Environment) แห่งมหาวิทยาลัยแอดิเลด, ออสเตรเลีย และ นาธาน เฮาเวิร์ด เกรย์ เป็นนักวิจัยอาวุโส ของสถาบันเพื่อการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแอดิเลด
ข้อเขียนนี้มาจากเว็บไซต์ เดอะ คอนเวอร์เซชั่น https://theconversation.com/ โดยสามารถติดตามอ่านข้อเขียนดั้งเดิมชิ้นนี้ได้ที่ https://theconversation.com/it-might-seem-like-trump-is-winning-his-trade-war-but-the-us-could-soon-be-in-a-world-of-pain-262434