เอเจนซีส์ /MGRออนไลน์ - DW สื่อเยอรมันวิเคราะห์การปะทะกันบริเวณชายแดนกับกัมพูชา นี้ทำให้การเมืองไทยตกอยู่ในความวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็เพิ่มพูนอำนาจอันมหาศาลของผู้นำกองทัพ ตรงข้ามกับรัฐบาลพลเรือนที่เสื่มออำนาจลง พร้อมตั้งคำถามบรรยากาศเช่นนี้ กำลังนำไปสู่การรัฐประหารครั้งใหม่หรือไม่ ระหว่างที่นายกฯ ตระกูลชิน แพทองธาร ชินวัตร เผชิญกับคดีความต่างๆ
DW ของเยอรมันรายงานวานนี้(13 ส.ค.)ว่า รัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เพิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงสงครามครั้งล่าสุดกับกัมพูชา
ในเดือนมิถุนายน หลังเกิดเหตุขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-กัมพูชา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พยายามบรรเทาความตึงเครียดด้วยการโทรศัพท์หานายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นความผิดพลาดเมื่อ
เธอวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของกองทัพของตนเอง และบอกเป็นนัยว่านายพลไทยบางคนกำลังใช้ความขัดแย้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ฮุนเซนได้ปล่อยบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ดังกล่าวออกมา ซึ่งอาจเป็นความพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยอ่อนแอลงในช่วงวิกฤตการณ์ชายแดน
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีไทยก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักราชการเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ระหว่างรอการพิจารณาคดี
ความไม่ลงรอยระหว่างรัฐบาลไทยและกองทัพโดยเฉพาะกับแม่ทัพภาคที่ 2 ถูกรายงานผ่านสื่อในประเทศอย่างกว้างขวางเป็นต้นว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย อ้างว่า ทหารไทยเหยียบระเบิดขาขาดรายวันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องใหม่ส่งผลทำให้บรรดาชาวเน็ตของไทยไม่พอใจ
หรือข่าวที่ว่า รักษาการนายกฯ แสดงความไม่พอใจที่กองทัพเปิดขอรับบริจาคลวดหนามจากประชาชนเพื่อไปวางกั้นเขตแดนโดยระบุว่า สามารถขอมาได้ที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเปิดรับบริจาค รวมไปถึงกรณีดราม่าการต่ออายุราชการของแม่ทัพภาค 2 พลโท บุญสิน พาดกลาง
***ไม่จำเป็นต้องรอการสั่งการอีกต่อไป***
สื่อเยอรมันรายงานว่า ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันความมั่นคงและการศึกษาระหว่างประเทศ ISIS ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ DW ว่า
การเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลให้กระทรวงกลาโหมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำกองทัพอย่างแท้จริง ผู้บัญชาการทการสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตนเห็นสมควร และไม่จำเป็นต้องรอการสั่งการอีกต่อไป
พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวผ่านข้อเขียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วใน Fulcrum วารสารออนไลน์ของสถาบันวิจัย ISEAS - Yusof Ishak Institute ของสิงคโปร์ชื่อดังว่า
“นี่เป็นหลักฐานพิเศษในบริเวณพื้นที่ชายแดนของไทยที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกมายาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ..ทำให้ทหารควบคุมนโยบายพรมแดนและจำกัดการควบคุมของฝ่ายพลเรือน”
แชมเบอร์สอ้างว่า กองทัพไทยได้บ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียดที่นำโดยพลเรือนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม
ทั้งนี้ พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน ถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเมษายนที่ผ่านมา แต่อัยการไทยสั่งไม่ฟ้อง งานวิจัยของเขามุ่งเน้นในด้านบทบาทกองทัพไทยในการเมืองไทย
ข้อเขียนของแชมเบอร์สใน Fulcrum ระบุว่า วิกฤตปัญหาความขัดแย้งพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาระหว่างปี 2024 – ปี 2025 ทั้งทางทะเลและทางบก เป็นความขัดแย้งที่ไม่ได้เกิดมาจากความพยายามของกองทัพที่จะบั่นทอนอำนาจฝ่ายพลเรือน แต่เป็นการทำให้อำนาจการควบคุมของฝ่ายพลเรือนอ่อนแอลงอย่างช้าๆ
DW รายงานว่า เมื่อทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมล่าสุด พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมากล่าวต่อสาธารณะถึงความจำเป็นและชี้ว่า “ไม่ต้องรอคอยคำสั่งจากรัฐบาล”
สื่อเยอรมันชี้ว่า ในเวลานี้ดูเหมือนประชาชนไทยผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจะเชื่อมั่นในกองทัพมากกว่ารัฐบาล
นักวิเคราะห์ต่างๆ ออกมาแสดงความเห็นกับ DW ว่า ในเวลานี้ดูเหมือนกองทัพไทยกำลังได้คลื่นมหาชนชาตินิยมผงาดขึ้นมากลางวิกฤตความขัดแย้งกับกัมพูชาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาไทยมาเป็นเวลานาน
ขณะที่บรรดานักการเมืองต่างโดนโจมตีทางโซเชียลมีเดียในข้อกล่าวหาไม่มีความรักชาติมากพอ
โพลสำรวจโดยสถาบันนิด้าของไทยสัปดาห์ที่แล้วค้นพบว่า ประชาชนไทยเชื่อมั่นสูงสุดต่อกองทัพในการปกป้องประโยชน์ของชาติและแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา
มีเพียงผู้ตอบแบบสอบถามแค่ 15% ที่กล่าวว่ามีระดับความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพลเรือนในการแก้ปัญหาเหล่านี้
สื่อเยอรมันชี้ว่า ด้วยกองทัพที่มีอำนาจ "ข้อตกลงหยุดยิง" ยังคงเปราะบาง คาดว่ากัมพูชาจะยังคงผลักดันการมีส่วนร่วมระหว่างประเทศเพื่อกระตุ้นการสนับสนุนภายในประเทศ ขณะที่กองทัพไทยมีแนวโน้มที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงและเสี่ยงต่อการยกระดับความรุนแรงขึ้น อ้างอิงจาก ศ.ดร.ฐิตินันท์
นักวิเคราะห์ต่างชี้ว่า การล่มสลายของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยจะยิ่งทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายทหารมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
เมธิส โลหเตปานนท์ อดีตนักวิจัยทีมนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และปัจจุบันนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนอาร์เบอร์ วิเคราะห์ว่า
“พรรคไม่พร้อมต่อการเลือกตั้ง และยังพบว่าการดำรงตำแหน่งต่อไปโดยไม่ประนีประนอมกับพันธมิตรฝ่ายอนุรักษ์นิยมในรัฐบาลผสมนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
เขาวิเคราะห์ต่อว่า วิกฤตทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นในการหวนกลับของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นอดีตหัวหน้ารัฐประหารและเคยนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2014 - ปี 2023
ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบัน ก็สามารถพยุงรัฐบาลผสมให้อยู่รอดได้ และการกลับมาของเขาอาจเป็นราคาที่พรรคเพื่อไทยต้องจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งที่อาจจะพ่ายแพ้
และแม้ว่าจะมีการประกาศการเลือกตั้ง การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาก็ช่วยส่งเสริมความนิยมของกองทัพและพันธมิตร
ศ.ดร.ฐิตินันท์ วิเคราะห์ว่า การเกิดรัฐประหารรอบใหม่ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่เขายังไม่ได้ตัดโอกาสที่จะเกิดออกไปโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กองทัพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากวิกฤตความขัดแย้งทางพรมแดน