สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บอกกับผู้นำบราซิล ในวันอังคาร(12ส.ค.) ทั้ง 2 ชาติสามารถเป็นต้นแบบของ "การพึ่งพาตนเอง" สำหรับมหาอำนาจเศรษฐกิจเกิดใหม่ ท่ามกลางความท้าทายด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เลื่อนรีดภาษีปักกิ่งออกไป 90 วัน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้นำทั้ง 2 คนหาทางนำเสนอประเทศของพวกเขาในฐาะผู้ปกป้องอย่างขะมักเขม้นต่อระบบการค้าพหุภาคี สวนทางกลับมาตรการจู่โจมด้วยเพดานภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
สี ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล ในวันอังคาร(12ส.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ทรัมป์ แถลงขยายเวลาพักรีดภาษีเล่นงานสินค้านำเข้าจากจีนออกไปอีก 90 วัน นอกจากนี้แล้วมันยังมีขึ้นหลังจาก ลูลา แย้มเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าเขามีแผนพูดคุยกับผู้นำอินเดียและจีน ให้พิจาณาตอบโต้มาตรการการค้าของสหรัฐฯร่วมกัน
ประธานาธิบดีสี บอกกับ ลูลา ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับบราซิล เวลานี้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อ้างอิงจากสำนักข่าวซินหัว พร้อมระบุ "จีนจะทำงานร่วมกับบราซิล ในการเป็นแบบอย่างของการเป็นหนึ่งเดียวกันและพึ่งพิงตนเองในบรรดาประเทศใหญ่ๆในซีกโลกใต้ และร่วมกันสร้างโลกที่มีความยั่งยืนมากกว่าที่เป็นอยู่"
รายงานข่าวของซินหัว อ้างคำกล่าวของ สี ระบุต่อว่า "ทุกประเทศควรเป็นหนึ่งเดียวกันและต่อต้านอย่างหนักแน่นต่อลัทธิฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้า" ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นการพาดพิงถึงมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ
ถ้อยแถลงจากทำเนียบประธานาธิบดีบราซิล ระบุว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างนั้น ลูลา และ สี ได้หารือกันในประเด็นต่างๆ ในนั้นรวมถึงสงครามในยูเครนและการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
"ทั้ง 2 คนเห็นพ้องกันเกี่ยวกับบทบาทของจี20 และ BRICS ในการปกป้องพหุภาคีนิยม" ถ้อยแถลงระบุ นอกจากนี้แล้วผู้นำทั้ง 2 คน ยังมุ่งมั่นขยายขอบเขตความร่วมมือในภาคต่างๆอย่างเช่นสุขภาพ น้ำมันและก๊าซ รวมไปถึงเศรษฐกิจดิจิทัลและดาวเทียม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปักกิ่งพยายามอย่างหนักในการเกี้ยวพาราสีชาติต่างๆในละตินอเมริกา ในฐานะเป็นหนทางหนึ่งในการต้านทานวอชิงตัน ซึ่งในอดีตแล้ว มีอิทธิพลอย่างมากในภูมิภาคแห่งนี้
จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของบราซิล และมีบรรดาชาติในละตินอเมริกาถึง 2 ใน 3 ที่ลงนามเข้าร่วมโครงการโครงสร้างพื้นฐานมหึมา "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ของปักกิ่ง
ลูลา พึ่งเดินทางเยือนจีนแบบรัฐพิธี เป็นเวลา 5 วัน เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยครั้งนั้นเขากล่าวกับเวทีสัมมนาหนึ่ง สำหรับความร่วมมือระหว่างปักกิ่งและละตินอเมริกา บอกว่าภูมิภาคแห่งนี้ไม่ต้องการ "เริ่มต้นสงครามเย็นใหม่"
(ที่มา:รอยเตอร์)