คณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลอนุมัติแผนการเข้าควบคุมเมืองกาซาซิตี (Gaza City) ในการขยายปฏิบัติการทางทหารในดินแดนของปาเลสไตน์ ซึ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในและต่างประเทศเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) เกี่ยวกับการทำสงครามที่ดำเนินมาเกือบ 2 ปี
เยอรมนีซึ่งเป็นพันธมิตรยุโรปที่สำคัญประกาศจะระงับการส่งออกยุทโธปกรณ์ไปยังอิสราเอลที่อาจนำไปใช้ในกาซาได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลชี้ว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าผิดหวัง ขณะที่สหราชอาณาจักรและพันธมิตรยุโรปอื่นๆ เรียกร้องให้อิสราเอลทบทวนการตัดสินใจยกระดับปฏิบัติการทางทหารในกาซา
อย่างไรก็ตาม ไมค์ ฮักคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า บางประเทศดูเหมือนจะมุ่งกดดันอิสราเอลมากกว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาส ซึ่งลงมือโจมตีอิสราเอลในปี 2023 จนจุดชนวนให้เกิดสงครามขึ้น
ครอบครัวของตัวประกันชาวอิสราเอลที่ถูกกลุ่มติดอาวุธจับตัวไว้ในกาซาและผู้นำฝ่ายค้านต่างประณาม เนทันยาฮู สำหรับการตัดสินใจที่อาจทำให้ชีวิตของตัวประกันตกอยู่ในความเสี่ยง
พันธมิตรฝ่ายขวาจัดในรัฐบาลผสมของ เนทันยาฮู พยายามผลักดันให้อิสราเอลยึดครองฉนวนกาซาทั้งหมดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาที่จะกำจัดพวกฮามาสให้หมดไป แม้ว่ากองทัพจะเตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวประกันที่เหลืออยู่ที่ตามที
ยาอีร์ ลาปิด (Yair Lapid) ผู้นำฝ่ายค้านอิสราเอล ชี้ว่าการตัดสินใจส่งกองกำลังอิสราเอลเข้าไปในเมืองกาซาซิตถือเป็นหายนะ และฝ่าฝืนคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและความมั่นคง
เขายังกล่าวหา อิตามาร์ เบน กวีร์ และ เบซาเลล สโมทริช สองรัฐมนตรีหัวจวาจัด ว่ากำลังลากเนทันยาฮูเข้าสู่ปฏิบัติการอันยืดเยื้อซึ่งจะส่งผลให้ตัวประกันและทหารเสียชีวิต
เนทันยาฮู ให้สัมภาษณ์กับ บิล เฮมเมอร์ จากสื่อ Fox News ซึ่งออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดี (7) ว่า กองทัพอิสราเอลตั้งใจที่จะควบคุมฉนวนกาซาทั้งหมด เขากล่าวว่าอิสราเอลไม่ได้ต้องการยึดกาซาไว้ แต่ต้องการจัดตั้ง "เขตแดนความมั่นคง" และส่งมอบดินแดนดังกล่าวให้กับกองกำลังอาหรับ
ประกาศจากสำนักงานของ เนทันยาฮู เมื่อเช้าวันศุกร์ (8 ส.ค.) มีขึ้นภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงในวันพฤหัสบดี (7) ระบุว่ากองทัพยิวจะยึดเมืองกาซาซิตี แต่ไม่ได้ระบุว่าจะยึดพื้นที่กาซาทั้งหมดหรือไม่
ทั้งนี้ คาดว่าคณะรัฐมนตรีของอิสราเอลจะให้การรับรองแผนการยึดเมืองกาซาซิตี
เนทันยาฮู ได้พูดคุยกับ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) เพื่อแสดงความผิดหวังต่อการที่เบอร์ลินระงับการส่งออกอาวุธให้อิสราเอล คามคำแถลงจากสำนักนายกรัฐมนตรี
เนทันยาฮู บอกกับผู้นำเยอรมนีว่า เป้าหมายของอิสราเอลคือ "ปลดปล่อยกาซาจากกลุ่มฮามาส" เพื่อที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลใฝ่สันติขึ้นที่นั่น และอิสราเอลไม่มีเจตนาที่จะเข้ายึดครองฉนวนกาซา
กองทัพอิสราเอลยืนยันว่าสามารถควบคุมพื้นที่กาซาได้ประมาณ 75% ขณะที่ อามีร์ อาวีวี อดีตนายพลจัตวาอิสราเอล ประเมินว่า หากกองทัพสามารถยึดเมืองกาซาซิตีได้จริง อิสราเอลจะสามารถควบคุมพื้นที่ได้ประมาณ 85%
“กาซาซิตีคือหัวใจสำคัญของกาซา เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลอย่างแท้จริง แข็งแกร่งที่สุดเสมอมา และแม้แต่ในสายตาของกลุ่มฮามาส การล่มสลายของกาซาซิตีก็เปรียบเสมือนการล่มสลายของกลุ่มฮามาส” อาวีวีกล่าว “การยึดเมืองกาซาจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ”
สื่ออิสราเอลรายงานว่า ปัจจุบันมีพลเรือนปาเลสไตน์ 900,000 คนอาศัยอยู่ในกาซาซิตี รวมถึงผู้พลัดถิ่นจำนวนมากจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล
ก่อนเกิดสงคราม เชื่อกันว่าหน่วยรบที่ทรงพลังที่สุดของฮามาสปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา รวมถึงกาซาซิตีด้วย
เวลานี้ยังมีตัวประกัน 50 คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในกาซา ซึ่งเจ้าหน้าที่อิสราเอลเชื่อว่า 20 คนยังมีชีวิตอยู่
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เป็นหนึ่งในผู้นำต่างประเทศที่เรียกร้องให้อิสราเอลพิจารณาทบทวนการตัดสินใจบุกเข้าไปในกาซาซิตี ขณะที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคที่ยืนยันว่าจะไม่ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสราเอลหากปราศจากการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ ก็ได้ออกมาประณามการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะยึดครองฉนวนกาซา
เมื่อถูกถามถึงเสียงวิจารณ์ต่อการตัดสินใจของอิสราเอลในการยกระดับสงคราม ฮักคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ได้ตั้งคำถามว่า เหตุใดบางประเทศจึง “กดดันอิสราเอล" อีกครั้งแทนที่จะเป็นฮามาส
ฮักคาบี กล่าวด้วยว่า ทรัมป์ ไม่พอใจที่พวกฮามาสไม่เต็มใจที่จะบรรลุ “ข้อตกลงที่สมเหตุสมผลใดๆ” พร้อมย้ำจุดยืนของผู้นำสหรัฐฯที่ว่า ฮามาสไม่สามารถดำรงคงอยู่ในอำนาจต่อไปได้ และจะต้องถูกปลดอาวุธ
อิสราเอลตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทั้งจากภายในและต่างประเทศเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซา รวมถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส กล่าวว่าพวกเขาจะให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเดือนหน้า
ที่มา: รอยเตอร์