ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันจันทร์(28ก.ค.) เปิดเผยว่าได้สั่งการให้คณะทำงานด้านการค้ากลับมาเจรจาการค้ากับไทยและกัมพูชา หลังจากทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ตามรายงานของรอยเตอร์
"เพิ่งได้พูดคุยกับรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา" ทรัมป์โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง "ผมสั่งการให้ทีมงานด้านการค้าของผม กลับมาเริ่มเจรจาด้านการค้า"
ในโพสต์ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ กล่าวอ้างความดีความชอบต่อการที่ไทยและกัมพูชาประกาศบรรลุข้อตกลงหยุดยิง "เพิ่งได้พูดคุยกับรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผมยินดีที่จะประกาศว่า หลังจากการเข้ามาเกี่ยวข้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ.ทรัมป์ ทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพ ขอแสดงความยินดีกับทุกฝ่าย" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว เผยว่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำของทั้งไทยและกัมพูชา เตือนว่าจะไม่เดินหน้าข้อตกลงการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ ถ้าความเป็นปรปักษ์ไม่หยุดลง
"บังเอิญว่า ตอนนี้เรากำลังมีการเจรจาการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ แต่เราไม่ต้องการทำข้อตกลงกับประเทศใดก็ตาม หากพวกเขายังคงสู้รบกันอยู่ และผมได้บอกกับพวกเขาไปแล้ว" ทรัมป์ระบุ
คำสั่งเดินหน้าเจรจาการค้าของทรัมป์ มีขึ้นในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชา เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในช่วงเที่ยงคืนวันจันทร์(28ก.ค.) ถือเป็นบททดสอบว่ามันจะช่วยระงับการสู้รบตามแนวชายแดนที่ยืดเยื้อมา 5 วันได้หรือไม่
ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขที่จะเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนวันจันทร์ เพื่อยุติการสู้รบในพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนที่มีระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร โดยในเมืองสำโรงของกัมพูชา ห่างจากชายแดนราวๆ 20 กิโลเมตร พวกผู้สื่อข่าวได้ยินเสียงการโจมตีด้วยปืนใหญ่เป็นชุดๆอย่างต่อเนื่องตลอดคืนวันจันทร์(28ก.ค.) ก่อนที่เสียงระเบิดจะหยุดยิงประมาณ 30 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืน และยังคงอยู่ในความสงบ 30 นาทีหลังจากนั้น
ส่วนที่อื่นๆ ในจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งจุดที่มีการสู้รบหนักหน่วงที่สุด สถานการณ์ยังคงเงียบเชียบ 20 นาทีหลังข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมีผลบังคับใช้ จากการเปิดเผยของผู้ว่าราชการจังหวัดที่โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก
เครื่องบินรบ จรวดและปืนใหญ่ สังหารผู้คนอย่างน้อย 38 ราย นับตั้งแต่วันพฤหัสบดี(24ก.ค.) และประชาชนอีกเกือบ 300,000 คนต้องอพยพถิ่นฐาน กระตุ้นให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าแทรกแซงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์
(ที่มา:รอยเตอร์/mgronline/เอเอฟพี)