บุคคลระดับสูงจากพรรคฝ่ายค้านกัมพูชาที่ถูกยุบไปแล้ว กล่าวหารัฐบาลเอื้ออำนวยคนเวียดนามมากกว่าประชาชนของตนเอง โดย อุม สอมอาน อดีตสมาชิกรัฐสภาจากพรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา อ้างว่ารัฐบาลภายใต้การนำของตระกูลฮุน มอบการปกป้องและให้สิทธิคนเชื้อชาติกัมพูชาเหนือกว่าพลเมืองเชื้อชาติเขมร
ในข้อความที่โพสต์บนเฟซบุ๊ก นายอุม สอมอาน อ้างข้อมูลรัฐบาลที่เผยแพร่ในปี 2020 มีคนเข้าเมืองชาวเวียดนามเกือบ 90,000 ทั้งมีเอกสารและมาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับอนุมัติสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร ในกัมพูชา ผิดกับพลเมืองเชื้อชาติเขมร ที่เวลานี้เสี่ยงสูญเสียสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด ขณะเดียวกันพลเมืองเวียดนามถูกนับรวมมากขึ้นเรื่อยๆและได้รับการปกป้องภายใต้กฎหมายกัมพูชา
นายอุม สอมอาน เน้นว่าครั้งที่พลเมืองเวียดนามเหล่านี้ได้รับอนุมัติสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร พวกเขาก็จะมีสิทธิ์ยื่นขอสิทธิความเป็นพลเมืองกัมพูชาหลังจากนั้น 7 ปี ตามกรอบของกฎหมายว่าด้วยการแปลงสัญชาติของประเทศ
เขาเตือนว่าคนเวียดนามเกือบ 90,000 คนกลุ่มนี้ ในอนาคตกุมบทบาทผู้นำที่สำคัญในสังคมกัมพูชา ในนั้นรวมถึงหัวหน้าหมู่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาล ผู้ว่าการเขต ผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทหารและผู้บัญชาการตำรวจ เขาบ่งชี้ด้วยว่าคนเหล่านี้อาจมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในศึกเลือกตั้งเทศบาลในปี 2027 และเลือกตั้งระดับชาติในปี 2028
ในหนังสือที่ออกโดยกระทรวงมหาดไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 กรฏาคม 2020 และถูกเผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้ ยืนยันว่ามีชาวต่างชาติเกือบ 90,000 คน ที่ข้ามเข้าไปยังกัมพูชา ยื่นขอผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร ทั้งนี้อ้างอิงจากหนังสือดังกล่าว พบผู้ยื่นคำร้องเหล่านี้เป็นมาจากเกือบ 29,000 ครอบครัวจาก 11 ชาติ ในนั้นเป็นคนเวียดนามถึง 89,471 คน แบ่งเป็นผู้หญิง 42,000 ราย
กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาชี้แจงว่าบัตรผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรจะมีอายุครั้งละ 2 ปี เปิดทางให้พลเมืองต่างชาติอยู่ในประเทศอย่างถูกกฎหมายและเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ในนั้นรวมถึงกระบวนการทางการปกครอง, การดูแลสุขภาพ, การธนาคาร, การทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์และประกอบธุรกิจต่างๆนานา
เมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม 2025 กรมการปกครองกัมพูชา ออกคำชี้แจง เน้นย้ำว่านับตั้งแต่ปี 1999 ทางกัมพูชาอนุมัติสิทธิความเป็นพลเมืองเขมรแก่ชาวต่างชาติรวมแล้วแค่ราวๆ 5,000 คน พวกเจ้าหน้าที่เน้นย้ำว่ามันเป็นตัวเลขค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการแปลงสัญชาติในประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับการแปลงสัญชาติและสิทธิความเป็นพลเมือง เกิดขึ้นท่ามกลางความอ่อนไหวทางการเมืองในระดับสูงเกี่ยวกัยคนเข้าเมือง อัตลักษณ์ประจำชาติและสิทธิการลงคะแนนเสียง ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลเน้นย้ำว่าทุกกระบวนการปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางกฎหมาย แต่พวกวิพากษ์วิจารณ์หยิบยกความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและการให้ลำดับความสำคัญแห่งชาติของรัฐบาล
(ที่มา:แคมโบเดียเดลี)