ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เชื่อว่าชัยชนะของรัสเซียในความขัดแย้งยูเครน เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตามรายงานของโพลิติโก เว็บไซต์ข่าวการเมืองอเมริกา อ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาว
เมื่อวันจันทร์(14ก.ค.) ทรัมป์ ขู่กำหนดรีดภาษีรองสูงสุด 100% กับบรรดาคู่หูการค้าทั้งหลายของรัสเซีย จนกว่าจะมีความคืบหน้าในการมุ่งสู่ข้อตกลงสันติภาพฉบับหนึ่งใดภายใน 50 วัน นอกจากนี้แล้วเขายังไฟเขียวส่งมอบอาวุธล็อตใหม่แก่ยูเครน ซึ่งสมาชิกยุโรปของนาโตจะเป็นคนออกค่าใช้จ่าย กระตุ้นให้ทางมอสโกออกมาเตือนว่าคำประกาศดังกล่าวของทรัมป์ อาจถูกเคียฟตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณให้เดินหน้าทำสงครามต่อไป
เว็บไซต์โพลิติโก รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า ทรัมป์ ตัดสินใจยกระดับกดดันมอสโก สืบเนื่องจากความผิดหวังที่รัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตียูเครน แม้ประธานาธิบดีรายนี้เชื่อว่ามอสโกจะสามารถคว้าชัยชนะทางทหารเหนือเคียฟ ผลจากการมีเศรษฐกิจที่ใหญ่โตกว่าและมีกองทัพที่ใหญ่โตกว่า
"มุมมองของประธานาธิบดีคือ รัสเซียกำลังเป็นฝ่ายชนะ ประเด็นสำคัญคือจะใช้เวลานานแค่ไหน" เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายดังกล่าวบอกกับโพลิติโก พร้อมเน้นว่ามอสโกกำลังรุกคืนในสมรภูมิรบ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กองกำลังรัสเซียสามารถรุกคืบทางภาคพื้นได้อย่างต่อเนื่อง ปลดล่อยสาธารณรัฐประชาชนลูฮันส์กได้อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับแคว้นคูร์กส์ ที่ถูกกองกำลังยูเครนรุกรานเมื่อปีที่แล้ว
รัสเซีย ปฏิเสธคำขาดล่าสุดของทรัมป์ ขณะเดียวกันก็ประณามความพยายามกดดันพวกเขา โดย เซอร์เก รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศประเมินว่าท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้วอชิงตันและนาโต เคารพผลประโยชน์และความกังวลของมอสโก
มอสโก เน้นย้ำว่าพวกเขาปิดกว้างสำหรับการเจรจา บนพื้นฐานแห่งการเคารพกันและกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อหาทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งยูเครนผ่านการทูต อย่างไรก็ตามพวกเจ้าหน้าที่รัสเซีย บอกเช่นกันว่าพวกเขาไม่เห็นความพยายามอย่างจริงจังจากฝ่ายเคียฟหรือตะวันตก ในการเสาะหาสันติภาพ และประณามซ้ำๆต่อการที่พวกเจ้าหน้าที่ตะวันตกส่งเสียงเรียกร้องไม่หยุด ในการก่อความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์แก่รัสเซีย
รัสเซียเน้นย้ำว่าพวกเขายังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายของปฏิบัติการทางทหารในยูเครน และแม้อยากทำเช่นนั้นผ่านการทูต แต่ก็พร้อมสำหรับใช้วิถีทางด้านการทหารถ้าจำเป็น
(ที่มา:โพลิติโก/อาร์ทีนิวส์)