ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กระพือสงครามภาษีต่อเนื่องในวันพุธ (9 ก.ค.) ด้วยการประกาศเก็บภาษีทองแดงที่นำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 50% และรีดภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิล 50% โดยทั้งสองมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกันในวันที่ 1 ส.ค.
"ผมขอประกาศเก็บภาษีศุลกากรทองแดง 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2025 หลังจากที่ได้รับทราบผลการประเมินด้านความมั่นคงแห่งชาติ" ทรัมป์ ประกาศผ่าน Truth Social และอ้างถึงกระบวนการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับทองแดงภายใต้มาตรา 232 (Section 232) ที่กำลังดำเนินอยู่
มาตรา 232 เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act of 1962)ครอบคลุมการป้องกันประเทศและความจําเป็น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเหล็กและอะลูมิเนียมถือว่ามีความสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงของสหรัฐฯ
คำประกาศของ ทรัมป์ มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เจ้าตัวได้แจ้งให้บราซิลทราบว่า อัตราภาษีตอบโต้จะเพิ่มจาก 10% เป็น 50% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีที่สูงลิ่วสำหรับประเทศหนึ่งๆ ที่มีดุลการค้าสมดุลกับสหรัฐฯ
ทรัมป์ เริ่มเปรยถึงการเก็บภาษีทองแดงในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคาร (8 ก.ค.) ซึ่งทำให้บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ แห่กันนำเข้าทองแดงให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ ทั้งจากชิลีและซัพพลายเออร์รายใหญ่อื่นๆ
ทรัมป์ กล่าวโทษรัฐบาลชุดก่อนๆ ว่าเป็นสาเหตุความเสื่อมโทรมของอุตสาหกรรมทองแดงในประเทศ และย้ำว่าสหรัฐฯ ต้องการทองแดงเพื่อใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อากาศยาน แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า และยุทโธปกรณ์ทางทหาร
"อเมริกาจะกลับมาสร้างอุตสาหกรรมทองแดงที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง" ทรัมป์ ประกาศ
ทรัมป์ ได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดี ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิลเพื่อแจ้งอัตราภาษี 50% และยังแสดงความไม่พอใจต่อสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการ "ล่าแม่มด" ต่อ ฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตผู้นำบราซิลคนก่อนหน้าที่เป็นนักการเมืองฝ่ายขวา ซึ่งทำให้ความขัดแย้งอย่างเปิดเผยระหว่าง ลูลา กับ ทรัมป์ ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทรัมป์ ยังวิจารณ์บราซิลว่าโจมตีการเลือกตั้งที่เสรี บ่อนทำลายเสรีภาพในการแสดงออกของชาวอเมริกัน และยัง "ออกคำสั่งเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของสหรัฐฯ อย่างลับๆ และผิดกฎหมาย" พร้อมกันนี้ก็ได้สั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไปเปิดการสอบสวนใหม่ภายใต้มาตรา 301 (Section 301) ว่าด้วยพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจทำให้บราซิลโดนอัตราภาษีตอบโต้หนักขึ้นอีก
ลูลา ออกคำแถลงตอบโต้จดหมายของทรัมป์ โดยระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีฝ่ายเดียวใดๆ ก็ตามจะเผชิญการตอบสนองตามกฎหมายของบราซิล
แบรด เซ็ตเซอร์ อดีตเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันทำงานกับสถาความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) เตือนว่าการกระทำของ ทรัมป์ ในครั้งนี้อาจส่งผลลุกลามบานปลายจนเกิดสงครามการค้าที่สร้างความสูญเสียร้ายแรงต่อทั้งสหรัฐฯ และบราซิล
"มันสะท้อนให้เห็นว่า การปล่อยให้ภาษีศุลกากรตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชายคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวเป็นอันตรายอย่างไร" เซ็ตเซอร์ กล่าว "มันยังเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า ลูลา ไปเอาชนะ โบลโซนารู ซึ่งเป็นพื่อนของ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้ง"
บราซิลเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 15 ของสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าการค้าสองทางรวม 92,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และสหรัฐฯ ยังเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าเกินดุลถึง 7,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (US Census Bureau)
สินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ ไปยังบราซิล ได้แก่ เครื่องบินพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันดิบ ถ่านหิน และเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่สินค้าส่งออกหลักของบราซิลไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันดิบ กาแฟ เหล็กกล้ากึ่งสำเร็จรูป และเหล็กดิบ
ก่อนหน้านั้น ทรัมป์ได้ประกาศผ่าน Truth Social ถึงอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากคู่ค้ารายย่อย 7 ประเทศที่ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ มูลค่าเพียง 15,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยฟิลิปปินส์จะถูกรีดภาษี 20%, ศรีลังกา แอลจีเรีย อิรัก และลิเบีย 30% และ 25% สำหรับบรูไนและมอลโดวา
ที่มา: รอยเตอร์, MGROnline