ความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน และ อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ของเขาระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง มาถึงอีกหนึ่งจุดแตกหักในวันเสาร์(5ก.ค.) หลังมหาเศรษฐีด้านอวกาศและยานยนต์แถลงก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ และเน้นย้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า "ร่างกฎหมายงบประมาณยิ่งใหญ่และสวยงาม" ของทรัมป์ จะทำให้อเมริกาถึงขั้นล้มละลาย
หนึ่งวันหลังจากถามบรรดาผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ว่าควรมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาในสหรัฐฯหรือไม่ ล่าสุดในวันเสาร์(5ก.ค.) ทรัมป์ ประกาศผ่านข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า "วันนี้ ได้มีการจัดตั้งพรรคอเมริกา ปาร์ตี ขึ้นมาแล้ว เพื่อสนับสนุนเสรีภาพของพวกคุณ พวกคุณต้องการพรรคการเมืองใหม่ และคุณจำเป็นต้องมีมัน"
ถ้อยแถลงจากมัสก์ มีขึ้นไม่นานหลังจาก ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายปรับลดภาษีและใช้จ่ายงบประมาณอันมหาศาล ที่เขาอวดอ้างว่าเป็น "ร่างกฎหมายที่สวยงามและยิ่งใหญ่" เมื่อวันศุกร์(4ก.ค.) ซึ่ง มัสก์ คัดค้านอย่างดุเดือด
มัสก์ ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากธุรกิจบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาและบริษัทดาวเทียมสเปซเอ็กซ์ ใช้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์ให้ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย และก้าวเป็นผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล ในช่วงเริ่มต้นสมัย 2 ของประธานาธิบดีรายนี้ โดยมีเป้าหมายปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่นั้นทั้ง 2 คนเกิดความไม่ลงรอยกัน เกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้
ก่อนหน้านี้ มัสก์ เคยเผยว่าเขาจะเริ่มต้นพรรคการเมืองใหม่ และทุ่มเงินบ่อนทำลายกัดเซาะเก้าอี้ของบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสที่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ทรัมป์ ตอบโต้ด้วยการขู่ตัดเงินอุดหนุนบริษัทต่างๆของมัสก์ ที่ได้รับจากรัฐบาลกลาง มูลค่ากลายพันล้านดอลลาร์
ความตึงเครียดระหว่าง 2 ฝ่าย โหมกระพือความกังวลแก่สมาชิกสภาคองเกรสรีพับลิกัน ที่วิตกว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสที่พวกเขาจะรักษาเสียงข้างมาก ในศึกเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026
เมื่อถูกถามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ เมื่ออะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากคนรักกันกับทรัมป์ มาเป็นโจมตีประธานาธิบดีรายนี้ มัสก์ตอบว่า "การขาดดุลงบประมาณที่บ้าคลั่งอยู่ก่อนแล้ว 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายใต้ไบเดน เพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ นี่มันจะให้ประเทศล้มละลาย"
ยังไม่มีความคิดเห็นมาจากทรัมป์หรือทำเนียบขาว เกี่ยวกับคำแถลงจัดตั้งพรรคของมัสก์
(ที่มา:รอยเตอร์)