กฎหมายลดหย่อนภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก้าวข้ามอุปสรรคสุดท้ายในสภาคองเกรสเมื่อวันพฤหัสบดี (3 ก.ค.) โดยสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากลงมติเห็นชอบแบบฉิวเฉียดต่อกฎหมายงบประมาณขนาดใหญ่ที่จะให้ทุนสนับสนุนรัฐบาล ทรัมป์ ผลักดันวาระหลักต่างๆ ในประเทศ ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนหมดสิทธิเข้าถึงประกันสุขภาพ
คะแนนโหวตเห็นชอบ 218 ต่อ 214 เสียงถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ ทรัมป์ ซึ่งจะได้เงินทุนเอาไปใช้ปราบปรามผู้อพยพ ทำให้มาตรการลดหย่อนภาษีปี 2017 มีผลถาวร และให้การลดหย่อนภาษีใหม่ๆ ที่เขาให้สัญญาไว้ตอนหาเสียงในเมื่อปี 2024 กลายเป็นจริง
กฎหมาย One Big Beautiful Bill ของ ทรัมป์ ยังหั่นงบโครงการด้านสุขภาพและความปลอดภัยทางอาหาร และตัดแรงจูงใจด้านพลังงานสีเขียวหลายสิบรายการออกไป นอกจากนี้ยังจะทำให้หนี้สินของประเทศเพิ่มขึ้นอีก 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO)
แม้ว่าพรรคของ ทรัมป์ จะมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนของร่างงบประมาณความยาว 869 หน้ากระดาษฉบับนี้ และผลกระทบต่อโครงการด้านการดูแลสุขภาพประชาชน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมี ส.ส. รีพับลิกันเพียง 2 คนจากทั้งหมด 220 คนเท่านั้นที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วย และก่อนหน้านี้ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ได้รับการเห็นชอบจากวุฒิสภาที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากด้วยคะแนนเฉียดฉิวเช่นกัน
ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์ จะลงนามกฎหมายนี้ในเวลา 17.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (21.00 GMT) ของวันศุกร์ที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐฯ
สมาชิกพรรครีพับลิกันยืนยันว่า กฎหมายนี้จะลดภาษีสำหรับชาวอเมริกันในทุกกลุ่มรายได้ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดย ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า "นี่คือเชื้อเพลิงเครื่องบินสำหรับเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้เรือทุกลำสามารถลอยลำได้"
ด้านสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตทุกคนลงคะแนนเสียงคัดค้าน โดยวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนรวย และทำให้คนอีกนับล้านๆ ไม่ได้รับประกันสุขภาพ
“ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลในการลดหย่อนภาษีทั้งหมดที่จะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันทั่วไป คือ การให้ส่วนลดภาษีครั้งใหญ่แก่บรรดามหาเศรษฐี” ฮากีม เจฟฟรีส์ แกนนำ ส.ส. เดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในสุนทรพจน์ที่กินเวลานานถึง 8 ชั่วโมง 46 นาที ซึ่งถือเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของสภาคองเกรส
แม้ตอนแรกจะมี ส.ส. รีพับลิกันสิบกว่าคนขู่จะลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว แต่สุดท้ายมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ทำเช่นนั้น ได้แก่ ส.ส.ไบรอัน ฟิตซ์แพทริก จากรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นผู้มีแนวคิดสายกลาง และ ส.ส. โทมัส แมสซี จากเคนตักกี ซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมที่กล่าวว่าร่างกฎหมายนี้ยังไม่ลดรายจ่ายมากพอ
พรรครีพับลิกันเร่งดำเนินการผลักดันกฎหมายนี้เพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายของ ทรัมป์ ในวันที่ 4 ก.ค. โดยทำงานกันตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีการอภิปรายกันทั้งคืนทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร (1) ด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 50 โดยมีรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ เป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาด
ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณแห่งสหรัฐฯ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ เก็บภาษีได้น้อยลง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะ 10 ปี และลดรายจ่ายลง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์
การตัดงบประมาณส่วนใหญ่มาจากโครงการ Medicaid ซึ่งเป็นโครงการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อย 71 ล้านคน ร่างกฎหมายดังกล่าวจะเข้มงวดเรื่องมาตรฐานการลงทะเบียน กำหนดเงื่อนไขการประกอบอาชีพ และปราบปรามกลไกการจัดหาเงินทุนที่รัฐต่างๆ ใช้เพื่อเพิ่มเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ประชาชนเกือบ 12 ล้านคนไม่มีประกันสุขภาพ ตามรายงานของ CBO
พรรครีพับลิกันเพิ่มเงิน 50,000 ล้านดอลลาร์ให้กับผู้ให้บริการด้านสุขภาพในชนบทเพื่อแก้ไขข้อกังวลว่าการตัดงบประมาณจะบีบให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องเลิกกิจการ
นักวิเคราะห์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชี้ว่า ชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากร่างกฎหมายฉบับนี้ ส่วนคนที่มีรายได้น้อยจะมีรายได้ลดลงอีก เนื่องจากการตัดงบโครงข่ายทางสังคมต่างๆ (safety nets) จะมีน้ำหนักมากกว่าการลดหย่อนภาษี
นักวิเคราะห์ยังเตือนด้วยว่า ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายฉบับนี้จะถ่ายโอนเงินจากคนรุ่นใหม่ไปสู่กลุ่มคนสูงอายุ ขณะที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯจาก Aaa ลงมาอยู่ Aa1 ในเดือน พ.ค. โดยอ้างถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และนักลงทุนต่างชาติบางส่วนกล่าวว่าร่างกฎหมายงบประมาณของ ทรัมป์ จะทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าสนใจน้อยลง
ร่างกฎหมายนี้ยังจะเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยป้องกันโอกาสผิดนัดชำระหนี้ในระยะสั้นได้ แต่นักลงทุนบางส่วนยังกังวลว่าหนี้ที่สูงเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นในระยะยาว
ที่มา: รอยเตอร์