เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – เรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษ HMS Prince OF Wales เดินทางถึงมารินาเบย์ของสิงคโปร์วันจันทร์(23 มิ.ย) และฝูงบินรบ F-35 ของ RAF อังกฤษเข้ามาสมทบในปฎิบัติการซ้อมรบ Op Himast ทั้งในตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย และอินโดแปซิฟิก โดยมีหลายสิบชาติเข้าร่วมซ้อมรบไม่ต่ำกว่า 13 ชาติโดยมี เรือรบบรรทุกเครื่องบินแดนผู้ดีเป็นศูนย์กลาง ด้าน เจมส์ แบล็กมอร์ (James Blackmore) ผู้บัญชาการเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษยืนยัน เดินทางเข้ามาไม่ไดเพื่อระราน "จีน"
ฟอร์ซนิวส์ สื่อการทหารของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(26 มิ.ย)ว่า ฝูงเครื่องบินรบ F-35 ของกองทัพอากาศอังกฤษ RAF เดินทางมาถึงสิงคโปร์ หลัง เรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษ HMS Prince OF Wales เข้าจอดเทียบท่าแดนลอดช่อง ที่มารินาเบย์ในวันจันทร์(24) ระหว่างปฎิบัติการซ้อมรบครั้งมโหฬาร Op Himast ที่มีประเทศร่วมฝึกซ้อมร่วม 30 ชาติใน 3 จุดตั้งแต่ มหาสมุทรอินเดีย และอินโดแปซิฟิก
ประเทศที่เข้าร่วมการซ้อมรบนอกเหนือได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ รวมถึงยังมีเรือฟริเกตและเรือสมทบจาก แคนาดา นอร์เวย์ และสเปน เข้าร่วม
ซึ่งในปฎิบัติการที่จะเป็นการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารของอังกฤษที่จะเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ตามหลังฝรั่งเศสที่เมื่อต้นปีมีปฎิบัติการซ้อมรบชื่อ La Perouse 2025 ที่ช่องแคบมะละกา
ซึ่งในปฎิบัติการออกทะเลนาน 8 เดือนของเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษพบว่าจะวิ่งผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอินโดแปซิฟิกสำหรับการเทียบท่าเป็นทางการและการซ้อมรบรวมถึง ปฎิบัติการซ้อมรบ Neptune Strike ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียร และการซ้อมรบนานาชาติ Talisman Sabre ที่มีออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพในกรกฎาคม และการซ้อมรบร่วม 2 ชาติกับญี่ปุ่น
สื่อการทหารอังกฤษรายงานว่า กองทัพอากาศอังกฤษแถลงผ่านแพลตฟอร์ม X มีใจความว่า “เครื่องบินรบขับไล่ F-35B Lightning อยู่บนดาดฟ้าในสิงคโปร์จากการที่เรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษเดินทางมาถึงเพื่อร่วมการฝึกซ้อมและการเกี่ยวข้องในภูมิภาค”
และแถลงการณ์ยังกล่าวต่อว่า “ทหารกองทัพอากาศอังกฤษ RAF อยู่ในความพร้อมในส่วนหนึ่งของปฎิบัติการ Op Highmast แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นหุ้นส่วนทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”
การมาเทียบท่าของเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษ HMS Prince OF Wales ที่สิงคโปร์ครั้งนี้ยังบังเอิญตรงกับครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอังกฤษ-สิงคโปร์
ซึ่งจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษจะอยู่ที่ออสเตรเลียหลังจากนี้
บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า การเดินทางเข้ามาของฝูงโจมตีภายใต้เรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่เรือบรรทุกเครื่องบินจีนจำนวน 2 ลำได้ซ้อมรบในเวลาเดียวกันใกล้ญี่ปุ่น การเคลื่อนไหวอย่างไม่คาดฝันทำให้โตเกียวต้องออกมาประท้วง
และเพิ่งสัปดาห์ที่แล้วที่ปักกิ่งแสดงความไม่พอใจต่ออังกฤษหลังเรือรบกองทัพอีกลำชื่อ HMS Spey's passage ได้วิ่งผ่านช่องแคบไต้หวันในเขตน่านน้ำสากลเพื่อปกป้องการเดินเรือเสรีที่ไม่โดนปิดกั้น แต่ทว่าปักกิ่งกลับยืนกรานชี้นิ้วว่า “เป็นการตั้งใจยั่วยุและบั่นทอนสันติภาพและเสถียรภาพ”
การมาปรากฏตัวของเรือรบอังกฤษในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถคาดเดาได้และส่งสัญญาณความไม่แน่นอนไปยังพันธมิตรทางการทหารในภูมิภาค
บีบีซีชี้ว่า สหรัฐฯเมื่อไม่นานมานี้ประกาศที่จะทบทวนข้อตกลงเรือดำน้ำ AUKUS มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่ทำไว้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน เพื่อช่วยเหลือออสเตรเลียซึ่งเป็นชาติในเครือจักรภพอังกฤษ
ทั้งนี้ เจมส์ แบล็กมอร์ (James Blackmore) ผู้บัญชาการเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษ HMS Prince OF Wales ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า เขาไม่คาดหวังว่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างอังกฤษและจีน พร้อมชี้ว่า “ทั้งอังกฤษและจีนต่างมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการเดินเรือในน่านน้ำสากล”
และยังเสริมอีกว่า
“ผมเกือบคาดไปว่า พวกเขาจะต้องการมาและเฝ้าดูในสิ่งที่พวกเรากำลังทำ..มีหลายฝ่ายมาที่ปราถนาจะเป็นประจักษ์พยานในสิ่งที่พวกเราทำอยู่”
การเดินทางเข้ามาของฝูงเรือโจมตี HMS Prince OF Wales ของอังกฤษได้รับการจับจ้องจากปักกิ่ง โดยหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกง รายงานในเชิงกระเซ้าว่า อังกฤษเข้ามาแสดง ‘ซอฟท์พาวเวอร์’ที่ ‘สิงคโปร์’ ด้วยการทอดสมอจอดเรือรบบรรทุกเครื่องบินของตัวเองที่มารินาเบย์
ทั้งนี้หนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ กระบอกเสียงของปักกิ่งได้เคยรายงานเมื่อวันที่ 24 เม.ย ในเชิงตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่ลอนดอนตัดสินใจส่งเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเอง HMS Prince OF Wales เข้ามาที่ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนั้นว่า “การกลับมาของเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษสู่ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนี้จะสามารถปรามใครได้เช่นนั้นหรือ?”
พร้อมกันนั้นยังกล่าวย้อนไปถึงสมัยจักรวรรดิอังกฤษที่เข้ามาล่าอาณานิคมครอบครองพื้นที่และที่ตั้งการค้าเป็นจำนวนมาก ยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ ตลาดและความมั่งคั่ง และเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจเอเชียเพื่อรับใช้การเติบโตทางอุตสาหกรรมของอังกฤษในเวลานั้นที่อาจไม่ต่างจากจีนยุคปัจจุบันที่ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติในหลายภูมิภาคเพื่อรวบ supply chain ไว้ในมือรวมไปถึงครอบครองตลาดต่างๆ เป็นต้นว่า รถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน BRI ทั้งในแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย เพื่อสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตัวเอง