นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีนเตือน มาตรการกีดกันการค้ากำลังทำให้ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าของโลกรุนแรงยิ่งขึ้น แต่ก็แสดงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจจีนจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงและค้ำจุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ควบคู่กับการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลที่พึ่งพิงการผลิตและส่งออก มาเป็นการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภค
นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวเมื่อวันพุธ (25 มิ.ย.) ในพิธีเปิดประชุม เวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) ในจีน หรือที่เรียกกันว่างาน “ซัมเมอร์ ดาวอส” ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเทียนจิน เมืองท่าใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กรุงปักกิ่ง ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างล้ำลึก โดยเห็นชัดว่าเขากำลังพาดพิงถึงการขึ้นภาษีศุลกากรกับคู่ค้าทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ผู้นำอันดับ 2 ของแดนมังกรผู้นี้กล่าวเสริมว่า มาตรการกีดกันการค้ากำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างสำคัญ และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและทางการค้าของโลกก็ดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น
“เศรษฐกิจโลกมีการบูรณาการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างลึกซึ้ง และไม่มีประเทศใดสามารถเติบโตหรือมั่งคั่งเพียงลำพัง” เขากล่าว และพูดต่อไปว่า “ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความยากลำบาก สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่กฎแห่งป่าที่ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่เป็นการร่วมมือกันและการประสบความสำเร็จร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย”
คำปราศรัยครั้งนี้ของหลี่ เป็นการตอกย้ำความพยายามของจีนในการแสดงบทบาทเป็นผู้ปกป้องระบบการค้าระหว่างประเทศซึ่งยึดโยงอยู่กับกฎระเบียบ แต่กำลังถูกคณะบริหารของทรัมป์ย่ำยี รวมทั้งยังเน้นข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กล่าวกับนายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่องของสิงคโปร์ ที่เดินทางเยือนปักกิ่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร (24 มิ.ย.) รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมซัมเมอร์ ดาวอส ด้วย ว่า ประเทศต่างๆ ควรต่อต้าน “การหวนคืนสู่ลัทธิวางตัวเป็นเจ้าเหนือใครๆ “และลัทธิกีดกันการค้า
ในการประชุมนี้ ยังมีผู้นำประเทศอื่นที่แสดงความไม่สบายใจเกี่ยวกับการถูกบังคับให้เลือกข้าง เป็นต้นว่า หว่อง ที่กล่าวกับ บอร์เก เบรนเด ประธานและซีอีโอดับเบิลยูอีเอฟว่า ประเทศต่างๆ ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการละทิ้งแนวคิดในการบูรณาการทางเศรษฐกิจ
ด้าน นายกรัฐมนตรีฝั่ม มิงห์ จิ๋งห์ของเวียดนาม แสดงความคิดเห็นคล้ายกันว่า อเมริกาเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุด ขณะที่จีนเป็นแหล่งนำเข้าใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ดังนั้น เวียดนามจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่สมดุลเพื่อให้สามารถเป็นมิตรกับทุกประเทศได้
ขณะเดียวกัน ในคำปราศรัยคราวนี้ หลี่แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจีนยังคงสามารถรักษาอัตราเติบโต “ที่ค่อนข้างรวดเร็ว” เอาไว้ได้ อีกทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างแข็งแกร่ง ในช่วงเวลาซึ่งแดนมังกรเองกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตที่นำโดยภาคการผลิต สู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า การเปลี่ยนผ่านนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้
ปัจจุบัน จีนกำลังหาทางบรรเทาความเสียหายทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้ากับอเมริกา ผ่านการสนับสนุนด้านนโยบาย ซึ่งถือเป็นภารกิจท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากเวลาเดียวกันนี้ ปักกิ่งยังต้องพยายามเดินหน้ามาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอันยากลำบาก
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ของจีนกำลังเผชิญเส้นทางเดิน 2 ทาง คือ รักษาอัตราเติบโตที่กำลังชะลอตัวลง ให้ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเอาไว้โดยใช้ภาคส่งออกที่แข็งแกร่งเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้น้อยลงท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับโบกตะวันตก ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือยอมให้เศรษฐกิจโตช้าลงยาวนานหลายปีเพื่อผลักดันการปฏิรูปที่มีเป้าหมายในการปลดล็อกศักยภาพระยะยาว ผ่านตลาดผู้บริโภคอันกว้างใหญ่ไพศาลของตัวเอง
อย่างไรก็ดี หลี่มั่นใจว่า จีนสามารถประสบความสำเร็จในทั้งสองทางเลือก โดยเขาย้ำว่าแดนมังกรจะสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ และระบุว่าในไตรมาส 2 นี้ เศรษฐกิจจีนได้แสดงให้เห็นว่ากำลังกระเตื้องขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ปักกิ่งกำหนดเป้าหมายการเติบโตปีนี้ไว้ที่ประมาณ 5% แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เป็นงานที่ยากลำบาก หากข้อตกลงสงบศึกการค้ากับวอชิงตันไม่ยืนยาวอย่างที่หวังก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์มองว่า จีนต้องมีนโยบายสนับสนุนภาคครัวเรือนมากขึ้นเพื่อส่งเสริมรูปแบบการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อ่อนไหวสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ผูกติดความชอบธรรมของตนเองกับการเติบโตระดับสูงมายาวนาน และเป็นเหตุผลสำคัญที่บรรดาผู้วางนโยบายเลื่อนการปฏิรูปนี้มาตลอดหนึ่งทศวรรษ
โรเดียม กรุ๊ป กลุ่มคลังสมองของอเมริกาที่โฟกัสความเคลื่อนไหวของจีน ระบุว่า การบริโภคในครัวเรือนของจีนในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมายังมีสัดส่วนเพียง 39% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เทียบกับอัตราเฉลี่ย 54% ในประเทศสมาชิกโออีซีดี
วันอังคารที่ผ่านมา จีนออกแนวทางที่มุ่งเน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินส่งเสริมการบริโภค ซึ่งรวมถึงการประกาศสนับสนุนการจ้างงานและเพิ่มรายได้ของครัวเรือน
นายกรัฐมนตรีจีนทิ้งท้ายว่า รัฐบาลมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านประเทศจากมหาอำนาจการผลิตเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่เปิดรับธุรกิจจากประเทศต่างๆ
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)