(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)
US strike on Iran changes everything
by Naina Sharma
22/06/2025
ภายใต้เปลือกนอกของการสำแดงอำนาจอย่างแข็งกล้าของโดนัลด์ ทรัมป์ คราวนี้ สิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปกลับเป็นการหลุดรุ่ยขาดวิ่นในเชิงยุทธศาสตร์ของพลังแห่งการป้องปราม, ความชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย, และการแก้ไขข้อพิพาทด้วยวิถีทางการทูต ผลกระทบต่างๆ จากการนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะในระดับภูมิภาคเท่านั้น มันยังเป็นการกระหน่ำตีอย่างรุนแรงเข้าใส่รากฐานของระเบียบระหว่างประเทศในปัจจุบันอีกด้วย
ณ วันที่ 21 มิถุนายน [1] สหรัฐฯเข้าโจมตีสถานที่ตั้งทางนิวเคลียร์แห่งสำคัญ 3 แห่งในอิหร่านทั้งที่ ฟอร์โดว์ (Fordow), นาตันซ์ (Natanz), และ อิสฟาฮาน (Isfahan) เป็นหลักหมายแสดงถึงการยกระดับบานปลายอย่างมีอันตรายยิ่ง ในภูมิภาคซึ่งเต็มได้วยความปั่นป่วนผันผวนอยู่ก่อนแล้ว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศ [2] ว่าการปฏิบัติการซึ่งเป็นแบบมีการประสานงานการโจมตีในทั้ง 3 จุดคราวนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้พรรณนาว่ามันเป็น “การกระหน่ำตีอย่างเด็ดขาด” เข้าใส่ความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทว่าภายใต้เปลือกนอกของการสำแดงอำนาจอย่างแข็งกล้าคราวนี้ สิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปกลับเป็นการหลุดรุ่ยขาดวิ่นในเชิงยุทธศาสตร์ของพลังแห่งการป้องปราม, ความชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย, และการแก้ไขข้อพิพาทด้วยวิถีทางการทูต ผลกระทบต่างๆ จากการนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะในระดับภูมิภาคเท่านั้น มันยังเป็นการกระหน่ำตีอย่างรุนแรงเข้าใส่รากฐานของระเบียบระหว่างประเทศในปัจจุบันอีกด้วย
ตั้งแต่ที่ถอนตัวออกจาก แผนปฏิบัติการร่วมอย่างรอบด้านปี 2015 (JCPOA) [3] สหรัฐฯก็ได้ทุบทำลายสถาปัตยกรรมทางการทูตซึ่งจัดสร้างขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างลูกระเบิดนิวเคลียร์ชิ้นนี้เรื่อยมา
(แผนปฏิบัติการร่วมอย่างรอบด้านปี 2015 the 2015 Joint Comprehensive Plan of Action หรือ JCPOA คือชื่ออย่างเป็นทางการของ ข้อตกลงว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์อิหร่านที่ เตหะรานทำเอาไว้กับ 5 ประเทศผู้แทนถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งได้แก่ สหรัฐฯ, รัสเซีย, จีน, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร กับอีก 1 ประเทศ คือ เยอรมนี เรียกกันว่า P5+1 ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Joint_Comprehensive_Plan_of_Action)
ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเจรจาต่อรองกันจนสำเร็จออกมาในสมัยของคณะบริหารบารัค โอบามา นั้น มีการบังคับใช้ข้อจำกัดต่างๆ เกี่ยวกับระดับของการเสริมสมรรถนะสารกัมมันตรังสี, ศักยภาพของเครื่องหมุนเหวี่ยงเพื่อเพิ่มสมรรถนะ (centrifuge), และคลังเก็บสารกัมมันตรังสี ทำให้โครงการของอิหร่านต้องตกอยู่ใต้ระบบการตรวจสอบที่นานาชาติสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างมากมายที่สุดเป็นประวัติการณ์ทีเดียว
เมื่อ ทรัมป์ นำสหรัฐฯออกมาจากข้อตกลงนี้ในปี 2018 [4] ฝ่ายต่างๆ ยังคงมีความเข้าใจกันทว่าอ่อนแรงเต็มทีว่า การโจมตีทางทหารจะต้องใช้เป็นทางเลือกอันดับท้ายสุดหลังจากไม่มีทางเลือกอื่นๆ แล้ว โดยปัจจัยที่จะจุดชนวนนี้ขึ้นมาได้ก็มีแต่ภัยคุกคามที่ (อิหร่าน) จะมีการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาอยู่รอมร่อแล้วเท่านั้น ทว่าหลักหมายขั้นต่ำสุดดังกล่าวนี้ เวลานี้ก็ได้ถูกทำลายจนสิ้นซากไปแล้วเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากการโจมตีของสหรัฐฯในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการตอบโต้การที่อิหร่านดำเนินการโจมตีอย่างเป็นฝ่ายเปิดฉากขึ้นมาก่อน หรือว่ามีหลักฐานที่ผ่านการตรวจสอบแล้วและมีความน่าเชื่อถือว่าอิหร่านกำลังจะแหกกฏละเมิดสัญญาข้อผูกพันต่างๆ อยู่แล้ว
ดังที่ทั้งสหรัฐฯและอิสราเอลแถลงเอาไว้ว่า นี่เป็นการโจมตีเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน (preventive strike) เป็นการกระทำซึ่งไม่ใช่เพื่อต่อต้านหักล้างกับสิ่งที่อิหร่านได้กระทำไปแล้ว แต่เพื่อต่อต้านหักล้างกับสิ่งที่สักวันหนึ่งอิหร่านอาจจะกระทำ แต่จากการกระทำเช่นนี้เอง วอชิงตันก็ได้ช่วยทำให้แบบอย่างการกระทำที่มีอันตรายมากๆ แบบอย่างหนึ่ง กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาขึ้นมา นั่นคือ การใช้กำลังเข้าจัดการเล่นงานความแฝงเร้นเรื่องนิวเคลียร์ (nuclear latency) ถ้าหากปล่อยไปโดยไม่มีการท้าทายแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งเพียงแค่ประเทศไหนต้องสงสัยว่ามีความสามารถที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ หรือมีศักยภาพที่จะมีความสามารถดังกล่าว ชาตือื่นๆ ก็มีเหตุผลความชอบธรรมแล้วที่จะลงมือเข้าแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธได้
การกระทำอย่างที่ว่ามานี้ คือการเย้ยหยันล้อเลียนกฎหมายระหว่างประเทศโดยแท้ เนื่องจากตามกฎบัตรสหประชาชาตินั้นระบุเอาไว้ว่า การปฏิบัติการทางทหารจะถือเป็นสิ่งซึ่งอนุญาตให้กระทำได้ ก็แต่เฉพาะในการต่อสู้ต้านทานการถูกโจมตีด้วยกำลังอาวุธ หรือด้วยการเห็นชอบยินยอมจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเท่านั้น สงครามที่เป็นการมุ่งโจมตีเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้ปรากฏว่าจะเกิดอันตรายอยู่รอมร่อแล้ว เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตดังกล่าวนี้
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีพวกนักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตเจ้าหน้าที่หลายๆ ราย ออกมาชี้ [7] ว่า การโจมตีครั้งนี้ของสหรัฐฯไม่ได้ผ่านการมอบหมายอนุมัติจากรัฐสภาอเมริกัน นี่ถือเป็นประเด็นของการล่วงละเมิดกฎหมายอีกประเด็นหนึ่ง ทั้งนี้ขณะที่มีการบรรยายสรุปให้พวกสมาชิกรัฐสภาระดับสำคัญๆ ของพรรครีพับลิกันบางคนได้รับทราบ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติโดยองค์รวมแล้วกลับถูกข้ามหัวไปเลย สำหรับประเทศประชาธิปไตยที่ประกาศก้องว่ามีความมุ่งมั่นผูกพันกับเรื่องที่ฝ่ายต่างๆ ต้องตรวจสอบควบคุมกันและกันตามรัฐธรรมนูญแล้ว การที่ฝ่ายบริหารตัดสินใจตามลำพังฝ่ายเดียวที่จะเข้าโจมตีดินแดนของชาติอธิปไตยอีกรายหนึ่งจนทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามระดับภูมิภาคขึ้นมา ควรที่จะถือเป็นสัญญาเตือนภัยที่น่าหวั่นกลัว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่การโจมตีคราวนี้เปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด ได้แก่การที่ตัวทฤษฎีว่าด้วยการป้องปรามทางนิวเคลียร์ (nuclear deterrence theory) เอง กำลังถูกกัดกร่อนบั่นทอนความน่าเชื่อถือ เคนเนธ วอลซ์ (Kenneth Waltz) นักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสกุลมองโลกตามความเป็นจริง (realist theorist) ผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยเสนอเหตุผลข้อโต้แย้งที่มีชื่อเสียงมากเอาในข้อเขียนเมื่อปี 2012 ของเขา ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “ทำไมอิหร่านจึงควรหาลูกระเบิดนิวเคลียร์ มาไว้ในครอบครอง” (Why Iran Should Get the Bomb) [8] โดยกล่าวว่า อาวุธนิวเคลียร์จะสามารถสร้างเสถียรภาพให้แก่การเมืองระหว่างประเทศได้ ก็ด้วยการบังคับให้ทุกๆ ฝ่ายต้องบังเกิดความระแวดระแวงอย่างสุดขีด
หลักเหตุผลของเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ง่ายๆ กล่าวคือ ไม่มีรัฐไหนหรอกที่จะเปิดฉากทำสงครามขนาดใหญ่ๆ ขึ้นมา ถ้าค่าใช้จ่ายของสงครามดังกล่าวอาจหมายถึงว่าตัวเองก็จะถูกทำลายล้างไปด้วย ทว่ามันจะออกมาตามนี้ได้ก็เฉพาะเมื่อภัยคุกคามดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือ แต่สำหรับอิหร่านนั้น ถึงแม้ได้ผ่านระยะเวลาหลายๆ ปีของการเพิ่มสมรรถนะวัสดุนิวเคลียร์ ตลอดจนเสริมสร้างสิ่งปลูกสร้างทางนิวเคลียร์ต่างๆ ของตนให้แข็งแกร่งแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ เตะหรานก็ยังคงไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ และนี่แหละคือเหตุผลจริงๆ ว่าทำไมอิหร่านจึงยังสามารถที่จะถูกโจมตีทิ้งระเบิดได้อยู่ หากอิหร่านได้ก้าวข้ามธรณีประตูจนกระทั่งมีสมรรถนะในการป้องปรามอย่างเต็มที่แบบเดียวกับเกาหลีเหนือแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากมายที่อิหร่านจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกบอมบ์
การพลิกกลับตาลปัตรเช่นนี้มีผลต่อเนื่องที่ลึกซึ้งยิ่ง กล่าวคือ ระบบกฎเกณฑ์ของการไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ของโลก ซึ่งอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้กำลังเผชิญหน้ากับปฏิทรรศน์ (paradox บทสรุปที่สอดคล้องกับหลักเหตุผล แต่กลับดูเหมือนขัดแย้งกันเอง) กล่าวคือ พวกรัฐที่ยอมละทิ้งไม่ผลิตระเบิดนิวเคลียร์ คือพวกที่อาจถูกชาติอื่นๆ ถล่มโจมตี ขณะเดียวกันพวกที่มีระเบิดนิวเคลียร์เอาไว้ในครอบครอง คือพวกที่ชาติอื่นๆ ต้องยอมอดทนอดกลั้น ข้อสรุปเช่นนี้ย่อมไม่จูงใจให้แก่การเหนี่ยวรั้งยับยั้งใจ แต่กลับเป็นการให้รางวัลแก่ผู้กล้าละเมิดข้อห้าม มันกำลังบอกกล่าวแก่ทุกๆ รัฐที่จ้องมองดูอยู่ว่า ความคลุมเครือในเรื่องนิวเคลียร์มีแต่จะเป็นภาระ ไม่ใช่เป็นตัวกันชนเอาไว้ป้องกันภัยไม่ให้เข้าถึงตัวหรอก และดังนั้นมันจึงกำลังผลักดันพวกเขาให้เคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ สุดขอบ
เวลาเดียวกันนี้ บทบาทของอิสราเอลในการยกระดับบานปลายนี้ กลับกำลังเกิดขึ้นมาโดยที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ถูกตรวจสอบจากการอภิปรายถกเถียงในสหรัฐฯแต่อย่างใด เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ทีเดียว เครื่องบินทหารและขีปนาวุธของอิสราเอลเข้าถล่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านโดยที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกลงโทษแทบจะสิ้นเชิง ทั้งนี้รวมไปถึงการโจมตีท่าอากาศยานต่างๆ และพวกสถานที่ทางทหารต้องสงสัยซึ่งอยู่ลึกเข้าไปภายในประเทศอิหร่าน
สหรัฐฯซึ่งไม่เพียงแค่บกพร่องล้มเหลวที่ไม่ได้เหนี่ยวรั้งทัดทานการก้าวร้าวรุกรานเช่นนี้ เท่านั้น แต่ในเวลานี้ยังกลับสนับสนุนเข้าร่วมเป็นกลุ่มเดียวกันกับอิสราเอลอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ การทำสงครามเช่นนี้ของอิสราเอล ซึ่งใช้ข้ออ้างบังหน้าว่าเป็นการป้องกันตนเอง ได้เข่นฆ่าผู้คนไปแล้วหลายร้อยคน และทำให้ขนาดขอบเขตของการสู้รบขัดแย้งนี้ขยายตัวกว้างขวางออกไป กระนั้น การประณามจากนานาชาติก็ยังคงเป็นไปอย่างเบาบาง โดยที่เวลาเดียวกัน สหรัฐฯก็คอยช่วยเหลือด้วยการกำบังและอำพรางให้ทั้งโดยถ้อยคำวาจาและทั้งโดยการปฏิบัติการ
รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลแลนต์ (Yoav Gallant) [9] พูดสรรเสริญการเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหารของสหรัฐฯครั้งนี้ว่าเป็น “การตัดสินใจอย่างห้าวหาญเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล” [10] ขณะเดียวกับที่ยืนยันว่าการโจมตีเหล่านี้สหรัฐฯดำเนินการโดยมีการร่วมมือประสานงานอย่างเต็มที่กับเทลอาวีฟ ทว่าการประสานร่วมมือกันนี้ไม่ได้เป็นแค่อยู่ในรูปของการเป็นหุ้นส่วนกันเท่านั้น –มันยังสะท้อนให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯกำลังอนุญาตอย่างชวนให้กังวลใจ ซึ่งเปิดทางให้อิสราเอลกระทำการโดยที่ได้รับยกเว้นไม่ถูกลงโทษเอาผิด เวลาเดียวกันนั้นก็ทำให้การสู้รบขัดแย้งยกระดับบานปลายออกไปซึ่งในที่สุดแล้วก็ดึงเอาวอชิงตันเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องด้วย
อันที่จริง แบบแผนของเหตุการณ์ที่ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ นับตั้งแต่กรณีการโจมตีใส่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์โอซิรัค (Osirak) ในอิรักเมื่อปี 1981 [11] มาจนถึงการปฏิบัติการครั้งต่างๆ ในซีเรียและเลบานอนเมื่อเร็วๆ นี้ [12] อิสราเอลล้วนแต่ได้เปิดฉากการปฏิบัติการทางทหารตามลำพังฝ่ายเดียวอย่างสม่ำเสมอ ภายใต้คำขวัญที่ว่า จักต้อง “เปิดการโจมตีก่อน” อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเรื่องราวตอนปัจจุบันของซีรีส์นี้ กลับแตกต่างออกไปทั้งในเชิงขนาดขอบเขตและผลต่อเนื่องที่จะติดตามมา
การบูรณาการกำลังยิงของสหรัฐฯเข้าไปในการรณรงค์ทำศึกของอิสราเอลในเวลานี้ ทำให้สงครามครั้งนี้เกิดมิติของการเป็นเหตุการณ์ที่มีขอบเขตทั่วโลกขึ้นมา โดยกำลังสั่นคลอนเสถียรภาพไม่แต่เฉพาะของอิหร่าน หากยังของภูมิภาคตะวันออกกลางโดยรวม อย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ภาคใต้เลบานอน ไปจนถึงภาคตะวันออกอิรัก
ความเสี่ยงที่จะเกิดการยกระดับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เวลานี้รวมศูนย์อยู่ตรงช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางที่การค้าขายน้ำมันราวๆ 20% ของโลกต้องใช้กันอยู่ อิหร่านได้สั่งให้หน่วยนาวีต่างๆ ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของตนเข้าสู่ภาวะเตือนภัยระดับสูงแล้ว และถึงแม้จวบจนถึงเวลานี้ยังไม่มีการตอบโต้โดยตรงบังเกิดขึ้นมา ทว่าเพียงแค่มีร่องรอยว่าการขนส่งในช่องแคบฮอร์มุซจะเกิดการสะดุดติดขัด ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งให้ราคาน้ำมันพุ่งพรวด [13] โดยที่น้ำมันดิบ “เบรนต์” กำลังไต่สูงขึ้นไปกว่า 12% นับตั้งแต่ที่การโจมตีเริ่มแรกของอิสราเอลเริ่มต้นขึ้น
การถล่มโจมตีของสหรัฐฯและอิสราเอล อาจจะส่งผลที่สามารถชะลอความก้าวหน้าทางเทคนิคของอิหร่านให้เนิ่นช้าออกไปเป็นเดือนๆ บางทีอาจจะกระทั่งถึง 1 ปี แต่ความเสียหายในระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดคำนวณออกมาได้ เวลานี้อิหร่านน่าที่จะพรักพร้องมากขึ้นแล้วที่จะเร่งรัดโครงการนิวเคลียร์ของตน ขณะที่น่าจะมีความพรักพร้อมสำหรับการเจรจาลดน้อยลง อีกทั้งมีความโน้มเอียงที่จะตอบโต้แก้แค้น โดยผ่านพวกเครื่องมือวิธีการแบบอสมมาตร (asymmetric) หรือแบบภูมิภาค ทุกๆ การคาดคำนวณซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นปัจจัยในทางยับยั้งไม่ให้สถานการณ์ยกระดับบานปลาย --เป็นต้นว่า การป้องปรามซึ่งกันและกัน, บรรทัดฐานของทั่วโลก, ต้นทุนท งการเมือง –เวลานี้ล้วนกำลังผันผวนไร้ความแน่นอน
การบาดเจ็บล้มตายที่แท้จริงของการสู้รบขัดแย้งในคราวนี้ ไม่ได้อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน หากแต่เป็นแนวความคิดที่ว่าความมั่นคงปลอดภัยของทั่วโลกสามารถที่จะบริหารจัดการกันได้โดยไม่ต้องหันไปพึ่งพิงการใช้กำลัง สหรัฐฯได้ทำให้เป็นที่กระจ่างชัดเจนแล้วว่า พวกที่ยังมัวแต่ลังเลรีรออยู่ คือพวกที่จะตกเป็นเป้าหมาย ขณะที่พวกซึ่งก้าวข้ามเส้นแบ่งทางนิวเคลียร์ไปแล้วจะเป็นพวกที่มีภูมิคุ้มกัน นี่ไม่ใช่หลักการแห่งสันติภาพเลย มันคือพิมพ์เขียวสำหรับการทำให้อาวุธนิวเคลียร์แพร่หลายเพิ่มมากขึ้นต่างหาก
เชิงอรรถ
[1]https://www.theguardian.com/world/2025/jun/22/trump-announces-us-strikes-on-iran-what-we-know-so-far-fordow-israel-nuclear
[2]https://truthsocial.com/@realDonaldTrump/posts/114724035571020048
]3] https://obamawhitehouse.archives.gov/node/328996
[4] https://trumpwhitehouse.archives.gov/briefings-statements/president-donald-j-trump-ending-united-states-participation-unacceptable-iran-deal/
[5]https://legal.un.org/repertory/art2/english/rep_supp7_vol1_art2_4.pdf
[6]https://legal.un.org/repertory/art2/english/rep_supp7_vol1_art2_4.pdf
[7] https://www.theguardian.com/world/2025/jun/21/us-lawmakers-respond-us-attack-on-iran
[8] https://www.foreignaffairs.com/articles/iran/2012-06-15/why-iran-should-get-bomb
[9]https://www.thetimes.com/comment/columnists/article/israel-has-done-most-of-the-job-now-trump-can-finish-it-r30c762gk
[10]https://x.com/yoavgallant/status/1936580555916599447?ref_src=twsrc%5Egoogle%7Ctwcamp%5Eserp%7Ctwgr%5Etweet
[11] https://nsarchive.gwu.edu/briefing-book/iraq-nuclear-vault/2021-06-07/osirak-israels-strike-iraqs-nuclear-reactor-40-years-later
[12] https://www.aljazeera.com/features/2025/4/9/israel-pushes-on-with-strategy-to-keep-neighbours-weak-in-lebanon-and-syria
[13]https://economictimes.indiatimes.com/markets/commodities/news/oil-prices-jump-more-than-4-after-israel-strikes-iran/articleshow/121814736.cms?from=mdr