เตหะรานคุยยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกถล่มอิสราเอล ไม่กี่ชั่วโมงหลังทรัมป์เรียกร้องให้อิหร่านยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข ซ้ำคุยรู้ที่กบดานและสามารถสังหารผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ตัวคอเมเนอีประกาศกร้าว ไม่มีวันยอมจำนน พร้อมเตือนสหรัฐฯจะเผชิญ “ความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้” หากขืนเข้ามาแทรกแซงสนับสนุนพันธมิตรสนิทของตนอย่างรัฐยิว
กองทัพอิสราเอลแถลงว่า เครื่องบินรบกว่า 50 ลำได้เข้าโจมตีเป้าหมาย 20 แห่งในเมืองหลวงของอิหร่านเมื่อเช้าวันพุธ (18 มิ.ย.) หลังจากออกคำเตือนล่วงหน้าให้ประชาชนอพยพออกจากเขตๆ หนึ่งในกรุงเตหะราน และได้โจมตีโรงงานผลิตนิวเคลียร์และอาวุธหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตเครื่องหมุนเหวี่ยงที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม รวมทั้งย่านที่อยู่อาศัยทั่วอิหร่าน
ทางด้านกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านเผยว่า ยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก “ฟัตตาห์-1” ถล่มเทลอาวีฟในวันพุธ ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้ รวมทั้งส่งฝูงโดรนเข้าไปโจมตีในอิสราเอล ด้านกองทัพอิสราเอลบอกว่า สามารถสกัดโดรน 10 ลำที่มาจากอิหร่าน และยิงตกลำหนึ่งถในเขตแดนอิหร่าน
ทั้งนี้ ไฮเปอร์โซนิก หมายถึงอัตราความเร็วที่เร็วกว่าเสียง 5 เท่าตัวขึ้นไป ดังนั้นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก จึงเป็นอาวุธที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของฝ่ายตรงข้ามติดตามสกัดกั้นได้ลำบาก
มีรายงานระบุว่า เขตที่อยู่อาศัยหลายแห่งในอิสราเอลถูกอิหร่านโจมตี และรัฐบาลของประเทศต่างๆ กำลังรีบอพยพพลเมืองของตนออกจากทั้งอิสราเอลและอิหร่าน
นับจากวันศุกร์ที่แล้ว (13) ที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่ออิหร่านภายใต้ข้ออ้างว่า เพื่อขัดขวางไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และเตหะรานส่งขีปนาวุธและโดรนตอบโต้นั้น อิหร่านรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (15 ) ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน และนับจากนั้นยังไม่มีการอัพเดตข้อมูลใหม่อีกเลย
จากการเปิดเผยของทางการอิหร่าน มีชาวต่างชาติกว่า 700 คนเดินทางข้ามแดนไปยังอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนียนับตั้งแต่ที่อิสราเอลเปิดฉากถล่ม ขณะที่อิสราเอลเริ่มส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองของตนที่ติดค้างอยู่ในประเทศต่างๆ เมื่อวันพุธ
ทางฝั่งอิสราเอลระบุว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีเข้ามาราว 400 ลูกนับจากวันศุกร์ ในจำนวนนี้มีประมาณ 40 ลูกที่เจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลได้ และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 คนเป็นพลเรือนทั้งหมด และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
ขณะเดียวกัน แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า อเมริกาไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีของอิสราเอล ทว่า การที่เขารีบร้อนทิ้งที่ประชุมซัมมิตจี7 ในแคนาดาและบินกลับวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ได้จุดกระแสการคาดเดาว่า เขากำลังตัดสินใจที่จะนำอเมริกาเข้าแทรกแซงการสู้รบขัดแย้งคราวนี้ ด้วยการประกาศเข้าข้างอิสราเอลอย่างเปิดเผย
ในวันอังคาร ทรัมป์แถลงว่า ใกล้หมดความอดทนและเรียกร้องให้อิหร่านยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมคุยว่า อเมริการู้ที่กบดานของอยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน และสามารถลอบสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่ยังไม่มีแผนลงมือ อย่างน้อยที่สุดในขณะนี้
ทั้งนี้หลังกลับจากแคนาดา ทรัมป์ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นเวลานาน 90 นาทีในวันอังคาร รวมทั้งยังหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล
แหล่งข่าววงในเผยว่า ระหว่างที่ทรัมป์หารือกับทีมความมั่นคง มีการพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ที่รวมถึงการเข้าร่วมกับอิสราเอลโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่า ทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการแทรกแซงในความขัดแย้งนี้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ทรัมป์ ออกมาขู่ คอเมเนอีได้กล่าวปราศรัยทางทีวีในวันพุธ (18) ว่า การยื่นคำขาดของทรัมป์เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ พร้อมประกาศว่าอิหร่านไม่เคยจำนน และเตือนสหรัฐฯว่าถ้าขืนเข้าแทรกแซง ก็จะประสบความเสียหายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้
ก่อนหน้านี้อิหร่านได้ขู่โจมตีฐานทัพอเมริกันในตะวันออกกลาง หากวอชิงตันเข้าร่วมสงคราม แหล่งข่าวที่สามารถเข้าถึงรายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ เผยว่า อิหร่านได้ย้ายฐานยิงขีปนาวุธทิ้งตัวบางส่วน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ฐานยิงเหล่านั้นถูกปรับเปลี่ยนมาเล็งเป้าหมายที่กองกำลังอเมริกันหรืออิสราเอลหรือไม่
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าววงใน 5 คนที่รับรู้เกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจของผู้นำสูงสุดของอิหร่านชี้ว่า การที่ที่ปรึกษาสำคัญด้านการทหารและความมั่นคงของคอเมเนอีหลายคนเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอล อาจทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์
สำนักข่าวฟาร์สรายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ ซึ่งคร่าชีวิตผู้นำทางทหารและนักวิทยาศาสตร์ไปแล้วหลายคน ยังทำให้กองบัญชาการการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอิหร่านสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารและโทรศัพท์มือถือ
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)
กองทัพอิสราเอลแถลงว่า เครื่องบินรบกว่า 50 ลำได้เข้าโจมตีเป้าหมาย 20 แห่งในเมืองหลวงของอิหร่านเมื่อเช้าวันพุธ (18 มิ.ย.) หลังจากออกคำเตือนล่วงหน้าให้ประชาชนอพยพออกจากเขตๆ หนึ่งในกรุงเตหะราน และได้โจมตีโรงงานผลิตนิวเคลียร์และอาวุธหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตเครื่องหมุนเหวี่ยงที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม รวมทั้งย่านที่อยู่อาศัยทั่วอิหร่าน
ทางด้านกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านเผยว่า ยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก “ฟัตตาห์-1” ถล่มเทลอาวีฟในวันพุธ ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้ รวมทั้งส่งฝูงโดรนเข้าไปโจมตีในอิสราเอล ด้านกองทัพอิสราเอลบอกว่า สามารถสกัดโดรน 10 ลำที่มาจากอิหร่าน และยิงตกลำหนึ่งถในเขตแดนอิหร่าน
ทั้งนี้ ไฮเปอร์โซนิก หมายถึงอัตราความเร็วที่เร็วกว่าเสียง 5 เท่าตัวขึ้นไป ดังนั้นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก จึงเป็นอาวุธที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของฝ่ายตรงข้ามติดตามสกัดกั้นได้ลำบาก
มีรายงานระบุว่า เขตที่อยู่อาศัยหลายแห่งในอิสราเอลถูกอิหร่านโจมตี และรัฐบาลของประเทศต่างๆ กำลังรีบอพยพพลเมืองของตนออกจากทั้งอิสราเอลและอิหร่าน
นับจากวันศุกร์ที่แล้ว (13) ที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่ออิหร่านภายใต้ข้ออ้างว่า เพื่อขัดขวางไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และเตหะรานส่งขีปนาวุธและโดรนตอบโต้นั้น อิหร่านรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (15 ) ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน และนับจากนั้นยังไม่มีการอัพเดตข้อมูลใหม่อีกเลย
จากการเปิดเผยของทางการอิหร่าน มีชาวต่างชาติกว่า 700 คนเดินทางข้ามแดนไปยังอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนียนับตั้งแต่ที่อิสราเอลเปิดฉากถล่ม ขณะที่อิสราเอลเริ่มส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองของตนที่ติดค้างอยู่ในประเทศต่างๆ เมื่อวันพุธ
ทางฝั่งอิสราเอลระบุว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีเข้ามาราว 400 ลูกนับจากวันศุกร์ ในจำนวนนี้มีประมาณ 40 ลูกที่เจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลได้ และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 คนเป็นพลเรือนทั้งหมด และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
ขณะเดียวกัน แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า อเมริกาไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีของอิสราเอล ทว่า การที่เขารีบร้อนทิ้งที่ประชุมซัมมิตจี7 ในแคนาดาและบินกลับวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ได้จุดกระแสการคาดเดาว่า เขากำลังตัดสินใจที่จะนำอเมริกาเข้าแทรกแซงการสู้รบขัดแย้งคราวนี้ ด้วยการประกาศเข้าข้างอิสราเอลอย่างเปิดเผย
ในวันอังคาร ทรัมป์แถลงว่า ใกล้หมดความอดทนและเรียกร้องให้อิหร่านยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมคุยว่า อเมริการู้ที่กบดานของอยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน และสามารถลอบสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่ยังไม่มีแผนลงมือ อย่างน้อยที่สุดในขณะนี้
ทั้งนี้หลังกลับจากแคนาดา ทรัมป์ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นเวลานาน 90 นาทีในวันอังคาร รวมทั้งยังหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล
แหล่งข่าววงในเผยว่า ระหว่างที่ทรัมป์หารือกับทีมความมั่นคง มีการพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ที่รวมถึงการเข้าร่วมกับอิสราเอลโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่าน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่า ทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการแทรกแซงในความขัดแย้งนี้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ทรัมป์ ออกมาขู่ คอเมเนอีได้กล่าวปราศรัยทางทีวีในวันพุธ (18) ว่า การยื่นคำขาดของทรัมป์เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ พร้อมประกาศว่าอิหร่านไม่เคยจำนน และเตือนสหรัฐฯว่าถ้าขืนเข้าแทรกแซง ก็จะประสบความเสียหายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้
ก่อนหน้านี้อิหร่านได้ขู่โจมตีฐานทัพอเมริกันในตะวันออกกลาง หากวอชิงตันเข้าร่วมสงคราม แหล่งข่าวที่สามารถเข้าถึงรายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ เผยว่า อิหร่านได้ย้ายฐานยิงขีปนาวุธทิ้งตัวบางส่วน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ฐานยิงเหล่านั้นถูกปรับเปลี่ยนมาเล็งเป้าหมายที่กองกำลังอเมริกันหรืออิสราเอลหรือไม่
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าววงใน 5 คนที่รับรู้เกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจของผู้นำสูงสุดของอิหร่านชี้ว่า การที่ที่ปรึกษาสำคัญด้านการทหารและความมั่นคงของคอเมเนอีหลายคนเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอล อาจทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์
สำนักข่าวฟาร์สรายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ ซึ่งคร่าชีวิตผู้นำทางทหารและนักวิทยาศาสตร์ไปแล้วหลายคน ยังทำให้กองบัญชาการการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอิหร่านสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์สื่อสารและโทรศัพท์มือถือ
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)