รายงานฉบับหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้ ระบุว่าพวกนักการเมืองระดับสูงของกัมพูชา มีบทบาทสำคัญในสิ่งที่พวกเขาให้คำจำกัดความว่าเป็น "เครือข่ายอาชญากรรมทรงอิทธิพลที่สุดของโลก" พร้อมแสดงความกังวลว่าอุตสาหกรรมอาชญากรรมทางไซเบอร์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่มีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกไม่นานจะกลับกลายเป็นว่ามีความใหญ่โตเกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้
ในรายงานที่เขียนโดย จาค็อบ ซิมส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและความมั่นคงในภูมิภาค ที่เผยแพร่เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ระบุว่ากัมพูชากำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการฉ้อฉลทางเศรษฐกิจระดับโลก ที่หลักๆขับเคลื่อนโดยแก๊งอาชญากรรมชาวจีน รายงานเตือนว่าขอบเขตของกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเหล่านี้คุกคามทั้งเศรษฐกิจโลกและเสียรภาพทางการเมือง และรุ่งเรืองเติบโตขึ้นผ่านการคอรัปชันที่ได้รับการสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจจากภาครัฐ
"ขณะที่ว่ากันว่าพม่าและลาวมีเศรษฐกิจที่พึ่งพาการหลอกหลวง ฉ้อโกงและกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ( scam economies) ในระดับสูง แต่มีอยู่ประเทศหนึ่งที่อยู่เหนือเพื่อนๆในแง่ของขนาดและความยั่งยืน" รายงานสรุป พร้อมชี้ว่า "มีความเป็นไปได้ที่กัมพูชาอาจกลายเป็นศูนย์กลางของโลกในด้านการฉ้อโกงข้ามชาติในยุคสมัยใหม่ ในปี 2025 และแน่นอนว่ามันมีแนวโน้มจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต"
ในรายงานของ ซิมส์ ที่เผยแพร่โดยสถาบัน Humanity Research Consultancy ซึ่งได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มีขึ้นตามหลังคำประเมินอันน่าวิตกโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ(UNODC) ซึ่งในเดือนเมษายน แสดงความกังวลต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของอาชญากรรมข้ามชาติที่มีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่มันกำลังแผ่ขยายไปสู่แปซิฟิก, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาและอเมริกาใต้
อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่าองค์กรอาชญากรรมที่มีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วจากการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์สู่คาสิโนที่ไม่มีกฎระเบียบและการพนันออนไลน์ และตอนนี้กลายเป็นผู้นำระดับโลก ในการฉ้อโกงและหลอกหลวงทางไซเบอร์ในระดับที่เป็นอุตสาหกรรม ที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายค้ามนุษย์ พวกฟอกเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนายหน้าค้าข้อมูล
ข้อมูลของ UNODC ระบุเพิ่มเติมว่าองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ ยังคงเกณฑ์ผู้คนเข้าร่วมงานอย่างนับไม่ถ้วน บ่อยครั้งเป็นพวกมีพรสวรรค์แต่ตกงาน หรือไม่ก็เป็นคนหนุ่มสาวจากประเทศต่างๆมากกว่า 60 ประเทศผ่านข้อเสนอการจ้างงานที่หลอกลวง พร้อมเน้นย้ำว่าแม้บางส่วนที่มีความตั้งใจเข้าร่วมกิจกรรมผิดกฎหมายเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วหลายคนก็ลงเอยด้วยการตกเป็นทาสภายใต้การขู่กรรโชกและเรียกค่าไถ่ รวมไปถึงบีบบังคับต่างๆนานา ไล่ตั้งแต่ทำร้ายร่างกาย ทรมาน ไปจนถึงฆาตกรรม
(ที่มา:เซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์)