Why did Israel jump the gun?
by M. K. BHADRAKUMAR
13/06/2025
กองทัพอิสราเอลเรียกการถล่มทางอากาศใส่อิหร่านโดยใช้เครื่องบินราว 200 ลำในตอนก่อนรุ่งสางของวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า เป็น “การโจมตีก่อนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะกระทำ” (preemptive strike) แต่กฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้เปิดช่องใดๆ ให้เข้าโจมตีอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปกว่า 1000 กิโลเมตรโดยใช้ข้ออ้างอย่างคลุมเครือว่า เป็น “การป้องกันตนเอง” – หรือ “ความจำเป็นที่จะต้องลงมือปฏิบัติการในทันที”
กฎบัตรสหประชาชาตินั้นมีการเปิดทางให้สำหรับการกระทำเพื่อการป้องกันตนเอง ทว่าอิหร่านมิได้กระทำสิ่งใดๆ เลยในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ –อย่างน้อยที่สุดก็นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หวนกลับคืนมาครองทำเนียบขาวอีกคำรบหนึ่ง— ซึ่งสามารถที่จะอนุมานได้ว่าเป็นการคุกคามอิสราเอล ทั้งนี้ฝ่ายอิสราเอลอ้างว่าพวกเขาได้ทำให้ศักยภาพในการคุกคามประเทศตนของอิหร่านอ่อนแอลงมาอย่างสำคัญ
ดังนั้น มันจึงต้องถูกเรียกว่าเป็นการก้าวร้าวรุกรานอย่างโจ่งแจ้งล่อนจ้อน น่าสังเกตว่า คำแถลงที่ออกโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ไม่นานหลังการปฏิบัติการของอิสราเอล ได้หาทางกันเอาสหรัฐฯให้ออกห่างจากการโจมตีของอิสราเอล ด้วยการเน้นย้ำว่า “อิสราเอลปฏิบัติการโดยลำพังตนเอง” และได้ให้คำปรึกษาหารือกับวอชิงตันว่า “พวกเขาเชื่อว่าการกระทำนี้มีความจำเป็นสำหรับการป้องกันตนเองของพวกเขา”
ก่อนหน้านั้น ทรัมป์ กำลังบอกกล่าวกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลด้วยซ้ำว่า การโจมตีแบบนี้มีแต่จะบ่อนทำลายการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่ โดยที่การเจรจาสหรัฐฯ-อิหร่านรอบที่ 6 มีกำหนดที่จะจัดขึ้นในกรุงมัสกัต ประเทศโอมาน ในวันที่ 15 มิถุนายน
คำแถลงของ รูบิโอ เน้นว่า “เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโจมตีอิหร่าน และเรื่องที่มีความสำคัญลำดับแรกสุดของเราคือการพิทักษ์ป้องกันกองกำลังทหารอเมริกันในภูมิภาคแถบนี้” รูบิโอไม่ได้ใช้ความพยายามแม้แต่น้อยนิดเลย เพื่อส่งเสียงว่าสหรัฐฯสนับสนุนอิสราเอลในการป้องกันการถูกโจมตีตอบโตกลับคืนใดๆ จากฝ่ายอิหร่าน เรื่องนี้ถือว่าผิดแปลกไปจากธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
คำถามใหญ่มีอยู่ว่า มีสาเหตุอะไรบีบบังคับให้ เนทันยาฮู ต้องกระทำเรื่องนี้ –นอกเหนือจากสาเหตุหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ได้แก่การหาทางหันเหความสนใจให้ออกไปจากวิกฤตทางการเมืองภายในประเทศที่กำลังแย่ลงไปเรื่อยๆ?
ปัจจัยประการหนึ่งได้แก่ การที่สมการส่วนบุคคลของเขากับ ทรัมป์ ซึ่งกำลังบ่ายหน้าไปในทางหมางเมินกันมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่ง ทรัมป์ ประกาศถอด ไมค์ วอลซ์ (Mike Waltz) ออกจากตำแหน่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดอย่าง ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ อันมีบทบาทในการปรับแต่งกำหนดโฉมหน้านโยบายสำคัญๆ ของทำเนียบขาว
เป็นความจริง การโยกย้าย วอลซ์ ให้ไปนั่งในตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติแทนคราวนี้ บังเกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องสหรัฐฯจะเข้าโจมตีพวกฮูตีในเยเมนได้รั่วไหลไปถึงสื่อมวลชน ผ่านกลุ่มโซเชียลมีเดียที่ใช้แพลตฟอร์มซิกแนล จึงทำให้กรณีนี้ถูกเรียกกันว่า “ซิกแนลเกต” (Signalgate) โดยที่ วอลซ์ คือช่องโหว่ที่ทำให้เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้นมา ทว่าเมื่อมาขบคิดทบทวนย้อนหลัง ก็เห็นชัดว่าการที่ วอลซ์ มีความโน้มเอียงไปในทางต้องการใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างแข็งแกร้าวใส่ศัตรูตัวร้ายกาจอย่างอิหร่าน ก็มีน้ำหนักมากเช่นกันในการตัดสินใจของ ทรัมป์ คราวนี้
ไม่นานเลยภายหลังจาก วอลซ์ สูญเสียเก้าอี้ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ การกำจัดกวาดล้างผู้ดำตำแหน่งหลักๆ ทางด้านนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติในทำเนียบขาวก็ได้เปิดฉากขึ้นมา พวกบุคคลที่ทราบกันดีว่าเป็น “สายเหยี่ยวเรื่องอิหร่าน” (Iran hawks) ผู้ซึ่ง วอลซ์ เลือกสรรมาด้วยตนเองเพื่อให้คอยช่วยเหลือเขา ก็ถูกเขี่ยออกไป ขณะที่พวกยึดนโยบายแบบคำนึงถึงความเป็นจริงโดยอิงอยู่กับนโยบายใหญ่ที่ว่า “อเมริกามาเป็นอันดับหนึ่ง” (‘America First’ realists) คือพวกที่ได้เลื่อนขึ้นมา
ในบรรดาผู้คนที่ถูกเก็บกวาดเหล่านี้ ก็รวมไปถึง อีริค แทรเกอร์ (Eric Trager) ผู้ที่ก่อนหน้านี้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งดูแลเรื่องกิจการตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือให้แก่สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ บุคคลผู้นี้ถูกมองว่าเป็น “เหยี่ยวด้านอิหร่าน” คนหนึ่งซึ่ง วอลซ์ นำเข้ามาใช้งาน โดยเอามาจากสถาบันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ (Institute for Near East Policy) ในกรุงวอชิงตันที่เป็นพวกโปรอิสราเอลอย่างเต็มตัว อีกคนหนึ่งได้แก่ มอร์แกน ออร์ตากุส (Morgan Ortagus) ผู้ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งใน “ผู้สนับสนุนที่โปรอิสราเอลที่สุดในคณะบริหารทรัมป์” ก็ถูกปรับให้ออกไปจากการมีบทบาทในฐานะเป็นผู้แทนดูแลเลบานอน ภายใต้ สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของ ทรัมป์
ตามรายงานของสำนักข่าว วายเน็ตนิวส์ (YNet News) ระบุว่า การที่ ออร์ตากุส ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งดังกล่าว “ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่พวกเจ้าหน้าที่ในกรุงเยรูซาเลม ซึ่งเธอถูกมองว่าเป็นพันธมิตรผูกพันใกล้ชิดกับผลประโยชน์ต่างๆ ของอิสราเอล” นอกจากนั้น เมแรฟ เซรัน (Merav Ceran ชาวอเมริกัน-อิสราเอล ที่เคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ในกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล) ก็ถูกโยกย้ายออกจากโต๊ะอิหร่านและอิสราเอล (Iran and Israel desk) ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ
แน่นอนทีเดียวว่า พวกเส้นสายของอิสราเอลที่ฝักใฝ่เรียกร้องให้สหรัฐฯทำสงครามกับอิหร่านมากกว่าใช้วิถีทางการทูต ได้ถูกเชิญตัวออกไป ในเวลาที่ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองกำลังเจรจาอยู่กับอิหร่านเพื่อให้ประเทศนั้นยอมตัดลดโปรแกรมนิวเคลียร์ของพวกเขา! (ดูเนื้อหาที่สมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ของความเปลี่ยนแปลงในทำเนียบขาวได้จากรายงาน 2 ชิ้นของเว็บไซต์ Responsible Statecraft website ของ สถาบันควินซี Quincy Institute)
ฝ่ายอิสราเอลอวดอ้างว่า มี “การร่วมมือประสานงานอย่างเต็มที่และสมบูรณ์แบบ” กับฝ่ายอเมริกันก่อนหน้าการโจมตีเมื่อวันศุกร์ (13 มิ.ย.) ทว่าอารมณ์ความรู้สึกเช่นว่านี้ยังไม่ได้ปรากฏสะท้อนให้เห็นในคำแถลงของ รูบิโอ ต้องยอมรับว่า รูบิโอ ได้ส่งคำเตือนไปถึงอิหร่านจริง อย่างที่คำแถลงของเขาบอกว่า “ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า อิหร่านไม่ควรจะพุ่งเป้าเล่นงานผลประโยชน์หรือบุคลากรของสหรัฐฯ” ทว่านี่เป็นการขีดเส้นสีแดงห้ามล่วงละเมิดให้เห็นกันชัดๆ มากกว่า
ปัจจัยที่อ่อนไหวอีกประการหนึ่งซึ่งร่วมแสดงบทบาทอยู่ด้วยเช่นกัน คือแรงกดดันต่อทรัมป์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น จากตัวบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับกันบางรายในค่าย MAGA (Make America Great Again ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง) ที่กำลังหนุนหลังเขาอยู่ เป็นต้นว่า สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) อดีตหัวหน้านักยุทธศาสตร์ทำเนียบขาว และบุคคลผู้ทรงอิทธิพล พวกเขาเตือนทรัมป์อย่าได้ใช้จุดยืนทางนโยบายการต่างประเทศแบบสายเหยี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิถีทางที่ให้ความสนับสนุนการเข้าแทรกแซงทางการทหารในต่างแดน เนื่องจากจุดยืนเช่นนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะทำให้ค่าย MAGA เกิดความแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งจะหมายถึงการก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงในทางการเมือง
ประการสุดท้ายคือ มีภาพใหญ่ของการจับกลุ่มรวมตัวกันครั้งใหม่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ช่วงประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมาคือระยะเวลาอันสำคัญยิ่งยวดระยะหนึ่งทีเดียว การที่ฝ่ายยูเครนปฏิบัติการอย่างห้าวหาญ ด้วยใช้โดรนเข้าโจมตีเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ของแดนหมีขาว ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของเหล่าอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เร่งรัดให้ ทรัมป์ โทรศัพท์ติดต่อกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ภายในเวลา 48 ชั่วโมง
ผลลัพธ์จากการสนทนาของพวกเขาคราวนั้น ดูเหมือนจะออกมาดังนี้ 1) การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย ยังจะต้องดำเนินต่อไป 2) วิถีทางการทูตจะยังคงเดินหน้าต่อไปในประเด็นปัญหายูเครน แม้กระทั่งขณะที่มีข้อเท็จจริงใหม่ๆ จากภาคสนามซึ่งอาจก่อรูปปรับโฉมต่อวิถีทางการทูต และ 3) สหรัฐฯกำลังแยกขาดออกห่างจากพวกชาติพันธมิตรยุโรปในเรื่องการทำสงครามตัวแทนในยูเครน
ส่วนที่น่าตื่นตะลึงของการพูดคุยทางโทรศัพท์คราวนี้ก็คือว่า ทรัมป์ได้หาทางเรียกร้องให้ปูตินเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวข้องในประเด็นปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน และปูตินก็ตอบตกลงที่จะช่วยเหลือ เพียงอีก 1 สัปดาห์ถัดมา สำนักข่าว อาร์ไอเอ (RIA) ซึ่งเป็นสำนักข่าวภาครัฐของรัสเซีย ก็รายงานโดยอ้างว่า โฆษกของรัฐบาลอิหร่าน ฟาเตเมห์ โมฮาเจรานี (Fatemeh Mohajerani) กล่าวว่า “ทริปการเยือนกรุงเตหะรานของ ปูติน เวลานี้กำลังดำเนินการกันอยู่ การตระเตรียมต่างๆ กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ”
อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เป็นผู้ที่ยกย่องให้เกียรติ ปูติน อย่างสูงลิ่ว กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือว่า ฝันร้ายแบบสุดๆ ของอิสราเอลกำลังทำท่าจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาเสียแล้ว –การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน กำลังได้รับการเพิ่มพูนความน่าเชื่อถือระดับรัฐบุรุษ จากผู้นำของโลกรายหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลย ปูตินทราบดีว่าเรื่องนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมในความสัมพันธ์รัสเซีย-สหรัฐฯ เนื่องจากความคลี่คลายของประเด็นปัญหาอิหร่านยังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับกระบวนการสร้างเสถียรภาพของตะวันออกกลาง และอาจจะทำให้มีโอกาสเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีกในการจัดการคลี่คลายวิกฤตตะวันออกกลาง รวมทั้งประเด็นปัญหาปาเลสไตน์
มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า เวลากำลังร่อยหรอลงทุกทีสำหรับอิสราเอล และ เนทันยาฮู จึงตัดสินที่จะลงมือตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่ว่า ทรัมป์ จะชอบมันหรือไม่ก็ตามที เมื่อพิจารณาจากทัศนะมุมมองของฝ่ายอิหร่านแล้ว ความได้เปรียบของพวกเขาเป็นสิ่งที่อิงอยู่กับการได้พูดจาต่อไปกับ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ในกรุงมัสกัต วันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) นี้ ขณะที่ในการปฏิบัติการตอบโต้ของอิหร่านซึ่งสามารถคาดหมายได้ว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนนั้น การโจมตีใดๆ ต่อพวกฐานทัพสหรัฐฯในภูมิภาคแถบนี้สมควรเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้อิสราเอลถูกตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อยๆ จากการกระทำก้าวร้าวรุกรานของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดในจุดที่มีความหมายมากที่สุดต่อพวกเขาในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
บีบีซี รายงานเอาไว้ว่า “ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนการโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (ตามเวลาในสหรัฐฯ) พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังบรรยายสรุปให้ฟังกันว่า ฝ่ายอเมริกันจะไม่ให้ความสนับสนุนใดๆ ในเหตุการณ์ที่อิสราเอลเปิดการปฏิบัติการ แม้กระทั่งพูดออกมาถึงขนาดว่าพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือการเติมน้ำมันกลางอากาศใดๆ ทั้งนั้น คำพูดเหล่านี้ดูจะมุ่งหมายส่งไปให้เตหะรานรับรู้”
ปฏิกิริยาแรกสุดของ ทรัมป์ ต่อการโจมตีของอิสราเอล ก็อยู่ในลักษณะของความมุ่งหมายที่จะให้มีการเจรจาและการประนีประนอมกัน ดังนี้
“ผมได้ให้โอกาสแก่อิหร่านครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับการทำข้อตกลงกัน ผมบอกกับพวกเขาด้วยถ้อยคำที่แข็งขันที่สุดว่า “ทำข้อตกลงกันเถอะ” แต่ไม่ว่าพวกเขาจะลงแรงใช้ความพยายามกันขนาดไหน, ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ได้ขนาดไหน, พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำให้สำเร็จขึ้นมา
“ผมบอกกับพวกเขาว่า มันจะเลวร้ายยิ่งกว่านักหนาจากอะไรต่างๆ ที่พวกเขารู้, คาดการณ์, หรือได้รับคำบอกเล่า ในเรื่องที่ว่าสหรัฐฯคือผู้ทำอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีที่สุดและที่ร้ายแรงที่สุดไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก มั น เ ล ว ร้ า ย ยิ่ ง ก ว่ า นั้ น นั ก ห น า และอิสราเอลก็มีมัน (อาวุธยุทโธปกรณ์ทำในสหรัฐฯ) เยอะแยะ รวมทั้งยังมีมากมายกว่านั้นอีกที่จะตามมา –และพวกเขาทราบดีถึงวิธีการที่จะใช้มัน
“มีพวกหัวแข็งกร้าวชาวอิหร่านจำนวนหนึ่งที่ออกมาพูดจาอย่างกล้าหาญ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ ต า ย กันไปหมดแล้ว และมันมีแต่จะเลวร้ายลงไปอีกเท่านั้น!
“มีความตายและการทำลายล้างอย่างมโหฬารเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีเวลาสำหรับการทำให้การสังหารโหด --ซึ่งการโจมตีต่อๆ ไปที่วางแผนการกันเอาไว้แล้วจะยิ่งโหดเหี้ยมยิ่งขึ้นไปอีก— มาถึงจุดยุติลง
“อิหร่านต้องทำข้อตกลง ก่อนที่มันจะไม่มีอะไรเหลือ และรักษาสิ่งที่ครั้งที่ครั้งหนึ่งเคยร้าจักกันในนามของจักรวรรดิอิหร่านเอาไว้ ต้องไม่มีการตายเพิ่มขึ้นอีก ต้องไม่มีการทำลายล้างมากขึ้นอีก ล ง มื อ ทำ เ ดี๋ ย ว นี้ เ ล ย ก่ อ น ที่ มั น จ ะ ส า ย เ กิ น ไ ป ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรพวกคุณทุกๆ คน!”