คณะผู้ว่าการของหน่วยงานตรวจตราด้านนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ประกาศในวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) ว่า อิหร่านละเมิดข้อตกลงผูกพันเรื่องไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้ให้สัญญาไว้ ขณะเจ้าหน้าที่เตหะรานระบุว่า “ประเทศเพื่อนมิตร” ได้เตือนพวกเขาถึงความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะถือเป็นโอกาสเข้าโจมตี โดยที่ก่อนหน้านั้น สหรัฐฯก็อพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากตะวันออกกลางพร้อมระบุว่าอาจกลายเป็น “พื้นที่อันตราย” นอกจากนั้น ทรัมป์ยังประกาศย้ำว่าไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธ “นุก” และอาจโจมตีประเทศนี้เช่นกัน ส่วนรัฐมนตรีกลาโหมอิหร่านประกาศกร้าวพร้อมล้างแค้นด้วยการโจมตีฐานทัพอเมริกันที่กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค
คณะผู้ว่าการ ที่เป็นหน่วยงานวางนโยบายของ ทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ประกาศว่า อิหร่านได้ละเมิดข้อตกลงผูกพันเรื่องไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้ให้สัญญาไว้ ถือเป็นการละเมิดครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี และเป็นการเพิ่มลู่ทางความเป็นไปได้ที่หน่วยงานตรวจตราด้านนิวเคลียร์แห่งนี้จะส่งรายงานเรื่องนี้ไปยังคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น
ขั้นตอนนี้ถือเป็นจุดสูงสุดของการเผชิญหน้าหลายต่อหลายครั้งระหว่างไอเออีเอกับอิหร่าน นับแต่ที่ทรัมป์นำสหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างเตหะรานกับพวกมหาอำนาจสำคัญของโลกเมื่อปี 2018 ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกของเขา ซึ่งทำให้ข้อตกลงดังกล่าวพังครืน
เจ้าหน้าที่ไอเออีเอผู้หนึ่งบอกว่า ทางอิหร่านได้ตอบโต้มติของไอเออีเอ ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาวางแผนการเปิดโรงงานเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมแห่งที่ 3 ของประเทศ
ขณะที่มีรายงานว่า เบห์รูซ คามาลวานดี โฆษกองค์การพลังงานปรมาณูอิหร่าน เปิดเผยกับสถานีทีวีของทางการว่า เตหะรานได้แจ้งไอเออีเอเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้สองข้อ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงเครื่องหมุนเหวี่ยงในโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์จากเจเนอเรชัน 1 เป็นเจเนอเรชัน 6 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะจำนวนมาก
หลังจากมติครั้งนี้ของไอเออีเอ กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลแถลงกล่าวหาว่าการกระทำของอิหร่านเป็นการบ่อนทำลายสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที) และเป็นภัยคุกคามอย่างซึ่งหน้าต่อความมั่นคงและเสภียรภาพของภูมิภาคนี้และนานาชาติ
อิหร่านนั้นเป็นภาคีที่ลงนามในสนธิสัญญาเอ็นพีที ขณะที่อิสราเอลไม่ยอมลงนาม รวมทั้งเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลคือประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่ในปัจจุบันมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
การเพิ่มสมรรถนะสามารถใช้ในการผลิตยูเรเนียมเกรดที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงของเตาปฏิกรณ์ซึ่งอาจนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางเพลเรือน เช่น ผลิตไฟฟ้า และหากเพิ่มระดับสมรรถนะขึ้นไปอีกก็อาจใช้ทำระเบิดปรมาณูได้ อิหร่านนั้นยืนกรานเรื่อยมาว่าโครงงานพลังงานนิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์ในทางสันติเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้หนึ่งของอิหร่านย้ำกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า จุดยืนของอิหร่านคือถึงแม้เป็นภาคีของเอ็นพีที แต่ก็จะไม่สละสิทธิในการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม นอกจากนั้นแล้วจากความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในตะวันออกกลาง “มีอิทธิพลทำให้เตหะรานเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องสิทธิทางนิวเคลียร์ของตน”
ตั้งแต่วันพุธ (11) สื่อจำนวนหนึ่งรวมทั้งรอยเตอร์ได้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในอิรักและสหรัฐฯว่า สหรัฐฯกำลังเตรียมอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนจากสถานเอกอัครราชทูตของตนในอิรัก และพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ อนุญาตให้ผู้อยู่ในการอุปการะของทหารอเมริกัน เดินทางออกจากที่ตั้งในตะวันออกกลางเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตให้เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เดินทางออกจากบาห์เรนและคูเวตตามความสมัครใจ
ค่ำวันเดียวกันนั้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังอัพเดตคำแนะนำการเดินทางทั่วโลกว่า กระทรวงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่มีภารกิจฉุกเฉิน เดินทางออกจากตะวันออกกลางเนื่องสถานการณ์ในภูมิภาคดังกล่าวตึงเครียดมากขึ้น
การตัดสินใจเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาอ่อนไหวอย่างยิ่ง เนื่องจากความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับอิหร่านดูเหมือนเจอทางตัน และหน่วยข่าวกรองของอเมริการะบุว่า อิสราเอลกำลังเตรียมการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ทรัมป์กล่าวว่า ตะวันออกกลางอาจกลายเป็นสถานที่อันตราย ดังนั้น อเมริกาจึงตัดสินใจอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกมา และเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า มีทางใดที่จะผ่อนคลายสถานการณ์นี้ได้หรือไม่นั้น ทรัมป์ยืนกรานว่า อิหร่านจะต้องไม่มีอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์ขู่มาหลายครั้งว่า จะโจมตีอิหร่าน หากการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ล้มเหลว และระหว่างการสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ เขายังบอกว่า มั่นใจน้อยลงว่า เตหะรานจะตกลงยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหลักของอเมริกา
วันเดียวกันนั้น อาซิส นาซีร์ซาเดห์ รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน ประกาศว่า ถ้าถูกโจมตี อิหร่านจะล้างแค้นด้วยการโจมตีฐานทัพของอเมริกาในตะวันออกกลางซึ่งกระจายอยู่ในหลายประเทศ ได้แก่ อิรัก คูเวต กาตาร์ บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)
เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของอิหร่านเผยว่า การข่มขู่ทางทหารเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเจรจาของอเมริกาอยู่แล้ว และอิหร่านจะตอบโต้อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะถูกอเมริกาหรืออิสราเอลโจมตีก็ตาม
คณะเจ้าหน้าที่อิหร่านประจำยูเอ็นยังโพสต์บนเอ็กซ์ว่า การข่มขู่ใช้กำลังไม่อาจเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่า อิหร่านไม่ได้ต้องการอาวุธนิวเคลียร์ และลัทธิทหารของอเมริการังแต่กระตุ้นความไร้เสถียรภาพ
โพสต์ดังกล่าวดูเหมือนเป็นการตอบโต้ พลเอกไมเคิล “อิริก” คูริลลา ผู้บัญชาการกองบัญชาการทหารด้านกลาง (CENTCOM)ของอเมริกา ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลทหารอเมริกันในตะวันออกกลาง ที่ก่อนหน้านี้เปิดเผยว่า ได้เสนอตัวเลือกมากมายในการขัดขวางไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์แก่ทรัมป์
ต่อมาในวันพฤหัสฯ (12 มิ.ย.) รัฐมนตรีต่างประเทศโอมานแถลงว่า การเจรจารอบที่ 6 ระหว่างอเมริกากับอิหร่านจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) ที่โอมาน ซึ่งคาดว่า เตหะรานจะยื่นข้อเสนอตอบกลับ หลังจากปฏิเสธข้อเสนอของวอชิงตัน
ในอีกด้านหนึ่ง หน่วยปฏิบัติการด้านการค้าทางทะเล ซึ่งสังกัดกองทัพเรืออังกฤษ ออกคำเตือนว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจนำไปสู่กิจกรรมทางทหารที่ส่งผลต่อการเดินเรือในน่านน้ำสำคัญแถบนี้ และแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังระหว่างเดินเรือผ่านอ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ติดกับพรมแดนอิหร่าน
ข่าวสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าพุ่งขึ้น 3 ดอลลาร์อยู่ที่ 69.18 ดอลลาร์
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)