xs
xsm
sm
md
lg

การเจรจาทางการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ลอนดอน ไม่ใช่แค่การต่อรองเรื่องแรร์เอิร์ธ-การส่งออกเทค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ไนเจล กรีน


(จากซ้ายไปขวา) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมิสัน กรีเออร์, รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก, รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์, รองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง, รัฐมนตรีพาณิชย์จีน หวัง เหวินเทา, และผู้แทนการค้าระหว่างประเทศของจีน และรองรัฐมนตรีพาณิชย์จีน หลี่ เฉิงกัง ถ่ายภาพร่วมกัน ระหว่างการเจรจาเรื่องการค้าที่อาคารแลงคาสเอร์เฮาส์ ในกรุงลอนดอน เมื่อวันจันทร์ (9 มิ.ย.) ซึ่งเป็นวันแรกของการหารือกันรอบนี้
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

US-China: what’s really at stake in London
by Nigel Green
10/06/2025

ลืมไปได้เลยสิ่งที่พูดกันว่าสหรัฐฯจะเอาเรื่องผ่อนปรนมาตรการปิดกั้นเทค มาต่อรองให้จีนคลายความเข้มงวดส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ เพราะการพูดจาว่าก้วยการค้าที่ลอนดอนคราวนี้จะกระทำเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬารกว่านั้นมาก โดยที่มันจะเป็นการตัดสินว่า ใครที่จะเป็นผู้เขียนระเบียบกฎเกณฑ์สำหรับเศรษฐกิจโลกแห่งศตวรรษที่ 21

การเผชิญหน้าประลองกำลังกันโดยมีการวางเดิมพันอย่างสูงลิ่ว กำลังคลี่คลายปรากฏออกมาให้เห็นในสัปดาห์นี้ที่กรุงลอนดอน – ห่างไกลออกมาจากพวกโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตในเซินเจิ้น และห่างไกลออกมาจากห้องค้าหลักทรัพย์ของตลาดวอลล์สตรีท ทว่ามันกลับอยู่ในฐานะของการเป็นศูนย์กลางในการวางระเบียบเศรษฐกิจของโลก

พวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯและของจีนจัดการหารือกันเป็นวันที่ 2 ในวันอังคาร (10 มิ.ย.) ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะลดทอนลดระดับความเป็นปรปักษ์กันทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลพวงติดตามมามากที่สุดในยุคสมัยของเรา

ภายหลังการพูดจากันวันแรกเมื่อวันจันทร์ (9 มิ.ย.) ผ่านพ้นไป ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวว่า “เรากำลังทำได้ดีกับจีน จีนนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เลย ... ผมกำลังได้รับแต่พวกรายงานที่ดีๆ” จีนนั้นกำลังเจรจาต่อรองเพื่อให้สหรัฐฯผ่อนคลายการควบคุมเรื่องเทค เวลาเดียวกันสหรัฐฯก็ต้องการให้จีนลดหย่อนพวกข้อจำกัดเรื่องการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ

แต่สำหรับบรรดานักลงทุนที่กำลังเฝ้ามองจากสิงคโปร์ ไปจนถึง ซิลิคอนแวลลีย์ การพบปะหารือเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากรหรอก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าใครจะเป็นผู้เขียนระเบียบกฎเกณฑ์ของเศรษฐกิจโลกแห่งศตวรรษที่ 21 กันเลยทีเดียวแหละ

ทั้งสองฝ่ายกำลังหาทางชุบชีวิตกรอบโครงเจนีวา ที่ได้สถาปนาขึ้นมาเมื่อเดือนที่แล้วขึ้นมาใหม่ –นั่นคือข้อตกลงซึ่งออกมาภายหลังการหารือระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯและจีนที่แจนีวา ซึ่งมีการตกลงผ่อนคลายการประจันหน้าขึ้นภาษีศุลกากรใส่กันอย่างดุเดือดลงมาชั่วคราว ด้วยการที่อัตราภาษีที่สหรัฐฯเก็บจากวินค้าจีนจะถอยลงมาจาก 145% เหลือ 30% ส่วนฝ่ายจีนก็หั่นภาษีศุลกากรซึ่งเรียกเก็บจากสินค้าอเมริกันจาก 125% เหลือ 10%

การประนีประนอมคราวนั้นจึงเป็นเพียงการตกลงหยุดยิง ไม่ใช่การทำสนธิสัญญาสันติภาพ แต่หลังจากนั้นมา การกล่าวหากันและกันอย่างเดือดดาลว่าไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงก็กลับฟื้นคืนมาใหม่

วอชิงตันบอกว่า ปักกิ่งกำลังถ่วงเวลาในการส่งออกแร่ธาตุที่ทรงความสำคัญยิ่งยวด ส่วนปักกิ่งก็กล่าวหาวอชิงตันว่ากำลังเพิ่มความพยายามมากขึ้นอีกในการตั้งข้อจำกัดเข้มงวดการส่งออกเทค โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)

การพูดจากันที่ลอนดอนครั้งนี้ถูกมองว่ามีความสำคัญ เพราะเดิมพันที่เกี่ยวข้องนั้นไม่เคยสูงเท่านี้มาก่อนเลย จีนกับสหรัฐฯไม่ได้เป็นเพียงแค่มหาอำนาจที่กำลังแข่งขันกันเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว –พวกเขายังกำลังเดินเครื่องดำเนินการระบบที่ผิดแผกแตกต่างกันจนถึงระดับรากฐาน 2 ระบบ แต่ละระบบต่างกำลังพยายามก่อรูปปรับโฉมสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจระดับโลกให้เป็นไปตามภาพลักษณ์ของตัวเอง

นี่คือการแข่งขันชิงชัยกันแบบเต็มพิกัดที่มีขนาดขอบเขตกว้างขวางยิ่ง ตั้งแต่เรื่องการไหลเวียนของข้อมูล, สกุลเงินตราดิจิตอล, นโยบายพลังงาน, ความมั่นคงแห่งชาติ, และเรื่องอุดมการณ์แนวความคิด พวกนักลงทุนที่เพิกเฉยไม่สนใจประเด็นนี้ จักต้องประสบอันตรายอย่างแน่นอน

เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหนักหน่วงจริงจังของการเจรจาที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ คุณๆ จะต้องมองให้เลยออกไปจากตารางอัตราภาษีศุลกากร และมองให้เห็นเส้นทางโคจรในวงกว้างยิ่งขึ้น

ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯกำลังทุ่มเทลงแรงให้กับลัทธิกีดกันการค้าเชิงยุทธศาสตร์ (strategic protectionism) การหันกลับมาใช้อัตราภาษีศุลกากรแรงๆ เอากับสินค้าเข้าของประเทศต่างๆ อย่างครอบคลุมใน “วันปลดแอก” (Liberation Day) ตอนต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นการกระทำแบบเดี่ยวๆ แยกต่างหาก --ทว่ามันเป็นขั้นตอนต่อไปของความพยายามที่มีขอบเขตกว้างขวางยิ่งในการปรับรูปแปลงโฉมรูปร่างหน้าตาของเศรษฐกิจอเมริกันกันเสียใหม่

ทางด้านจีน ภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็กำลังตอบโต้กลับคืนแบบหมัดต่อหมัด ด้วยการเร่งรัดการณรงค์ให้พึ่งตัวเอง, ส่งเสริมด้านการทหารและด้านอุตสาหกรรมที่มีการเกาะเกี่ยวรวมตัวกันอย่างสลับซับซ้อน, และเพิ่มการควบคุมอย่างเข้มงวดเหนือการไหลเวียนของเงินทุนและเทคโนโลยีต่างประเทศ

ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ 2 รายนี้กำลังถาโถมเร่งรัดมุ่งไปสู่การแยกขาดออกจากกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบห่วงโซ่อุปทานที่คู่ขนานกันอยู่, พวกมาตรฐานซึ่งกำลังแข่งขันว่าของใครกันแน่ที่ควรได้รับการยอมรับนำไปใช้ในวงกว้าง, สกุลเงินตราดิจิตอลซึ่งก็เป็นคู่แข่งกัน, และระเบียบกฎเกณฑ์สำหรับปัญญาประดิษฐ์ที่ต่างฝ่ายต่างมีลักษณะพิเศษเฉพาะของตนเอง โมเดลเก่า—ที่เน้นย้ำการพึ่งพาอาศัยกันและกันโดยผ่านโลกาภิวัตน์—กำลังหลุดรุ่ยขาดรุ่งริ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบเรียลไทม์

พิจารณาจากทัศนะมุมมองของตลาดการเงิน สภาพการแตกร้าวเช่นนี้ก่อให้เกิดภาวะปั่นป่วนวูบวาบ ทว่ามันก็กลายเป็นโอกาสอันพิเศษผิดธรรมดาไปด้วย พวกภาคเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์กำลังถูกคำนวณตีราคากันเสียใหม่อย่างเร็วรี่

ทั้งภาคเทคเกี่ยวกับกลาโหม, เอไอ, ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, อุตสาหกรรมการผลิตเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์, และแร่แรร์เอิร์ธ ทั้งหมดเหล่านี้ต่างปรากฏตัวกลายเป็นตัวแทนในการแข่งขันไขว่คว้าอำนาจทางเศรษฐกิจคราวนี้

การไหลเวียนของเงินทุนเมื่อไม่นานมานี้ บอกเล่าเรื่องราวเช่นนี้อย่างชัดเจน กล่าวคือ พวกนักลงทุนสหรัฐฯและยุโรปต่างกำลังเพิ่มการเข้าไปถือหุ้นเข้าไปมีเอี่ยวกับการผลิตชิปภายในประเทศ เวลาเดียวกันจีนก็กำลังอัดฉีดเงินทุนภาครัฐก้อนมหึมาเข้าไปให้พวกกิจการแชมเปี้ยนด้านเทคของตน และกำลังทำให้นโยบายทางอุตสาหกรรมของตนกลายเป็นอาวุธในการสู้รบชิงชัย

เพียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนประกาศแผนการริเริ่มลงทุนใหม่มูลค่า 500,000 ล้านหยวน (ราว 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งมุ่งโฟกัสไปที่พวกเทคโนโลยีใช้งานได้ทั้ง 2 ทาง –นั่นคือนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางพลเรือนและทางทหาร

เวลาเดียวกันนั้นเอง กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯก็ประกาศขยายมาตรการจำกัดการส่งออกของตนให้ครอบคลุมถึงพวกชิ้นส่วนอะไหล่ของการคำนวณทางควอนตัม (quantum computing) และพวกชุดข้อมูลเทรนนิ่งทางด้านเอไอ ข้อความที่ทั้งสองฝ่ายส่งออกมาในคราวนี้อ่านได้อย่างไม่มีทางผิดพลาดเลย นั่นคือ การชิงฐานะครอบงำเทคของวันพรุ่งนี้ให้จงได้ ถือว่าคือเรื่องความมั่นคงแห่งชาติของวันนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ การพูดจากันที่ลอนดอน จึงกลายเป็นโรงละครที่อนาคตกำลังถูกนำมาเจรจาต่อรองกัน –หรือไม่เช่นนั้น มันก็คือเจรจาต่อรองกันแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยการที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์, รัฐมนตรีพาณิชย์ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก, และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมิสัน กรีเออร์ กำลังประจันหน้ากับคณะผู้แทนฝ่ายจีนที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรี เหอ ลี่เฟิง การพูดจาครั้งนี้จึงเป็นการเจรจาหารือในระดับอาวุโสที่สุดนับตั้งแต่การรีเซตเวทีกันใหม่ที่เจนีวาเป็นต้นมา

เมืองหลวงของทั้งสองฝ่ายทราบดีว่าเดิมพันคราวนี้คืออะไร และต่างไม่ต้องการที่จะอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนว่าในการแข่งจ้องตาใส่กันนี้ ตนเองเป็นฝ่ายที่ต้องกระพริบตาก่อน

พวกนักลงทุนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดถึง 2 ชั้นซ้อน พวกเขาถูกจับวางเอาไว้ให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการแตกแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าก็อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ซึ่งจะหาผลประโยชน์ได้จากการรีบเร่งหาทางให้ได้อยู่อย่างมั่นคงบนจุดสูงสุดที่สั่งการบังคับบัญชาเศรษฐกิจแห่งอนาคต นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้การพูดจาที่ลอนดอนคราวนี้จึงกำลังถูกจับจ้องมองอย่างใกล้ชิดจากห้องประชุมคณะกรรมการบริหารของภาคบริษัทธุรกิจทั้งหลาย พอๆ กับในแวดวงทางการทูต

ถ้าการพูดจาประสบความสำเร็จในการรักษาแนวทางของการหารือที่เจนีวาเอาไว้ได้ มันก็อาจจะสามารถทำให้อารมณ์ความรู้สึกมีเสถียรภาพขึ้นมา และอัดฉีดความมีชีวิตชีวาเข้าไปในการทำดีลข้ามพรมแดนซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะอัมพาตเนื่องจากความไม่แน่ไม่นอนในทางนโยบาย

ถ้าหากมันประสบความล้มเหลว –และสัญญาณต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงการแตกร้าวรวมกลุ่มกันไม่ได้จนกระทั่งถึงระดับรากฐาน ทั้งในเรื่องความไว้วางใจกันและความคาดหมายในกันและกัน— กระบวนการแยกขาดออกจากกันก็จะยิ่งเร่งตัว พวกห่วงโซ่อุปทานก็จะเกิดกันปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น, เงินทุนจะมีการโยกย้ายกันใหม่ในระดับกว้างขวาง, และความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเฟ้อในปริมณฑลอินพุตสำคัญๆ อย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ แรร์เอิร์ธ ก็จะพุ่งพรวดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง

พวกนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องขบคิดในแง่มุมของการมี 2 พอร์ตโฟลิโอคู่ขนานกัน โดยที่พอร์ตหนึ่งมุ่งหาประโยชน์สูงสุดจากกลุ่มก้อนฝ่ายตะวันตก อีกพอร์ตหนึ่งสำหรับใช้กับเขตอิทธิพลของจีน

อย่างไรก็ตาม ยังมีผลพวงติดตามมาที่อยู่เบื้องลึกลงไปอีกประการหนึ่ง ซึ่งไม่ควรที่จะมองข้ามไปเป็นอันขาด ความเป็นปรปักษ์กันในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับจีดีพี หรือความเป็นผู้นำทางด้านเทคเท่านั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ 2 วิสัยทัศน์ กำลังประชันขันแข่งกันเพื่ออ้างความถูกต้องชอบธรรม

ฝ่ายหนึ่งนั้นยึดตรึงอยู่กับทุนนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเวลานี้กำลังพยายามกลับมายืนยันอำนาจควบคุมเหนือนโนบายทางการค้าและทางอุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังปล่อยให้เป็นเรื่องกระบวนการเพื่อความเสรีมาหลายทศวรรษ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือโมเดลแบบรวมศูนย์ที่ขับดันโดยรัฐ ซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างความมีระเบียบ, อัตราเร็ว, และความหยุ่นตัวที่สามารถรับมือกับแรงบีบคั้นกดดันได้โดยไม่แตกหักพังภิณฑ์ นี่จึงไม่ใช่การหวนกลับคืนมาอีกรอบหนึ่งของสงครามเย็น มันเป็นอะไรที่ใหม่กว่า, มีความไหลลื่นเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า, --และมีศักยภาพที่จะคงทนถาวรกว่าอีกด้วย

นี่คือเหตุผลที่ทำไมการพิจารณาการพูดจาเหล่านี้ภายในกรอบของการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรแท้ๆ เท่านั้นจึงเป็นการมองที่พลาดเป้า นี่คือเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบวางแผนสร้างระบบ และทุกๆ การสนทนาเกี่ยวกับชิป, ข้อมูล, หรือแร่ธาตุสำคัญยิ่งยวดทั้งหลาย ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าใครจะได้เป็นผู้นิยามจำกัดความอำนาจทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาหลายๆ ทศวรรษต่อจากนี้ไป

มีนักลงทุนบางรายกำลังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงเช่นนี้กันแล้ว พวกกองทุนความมั่งคั่งภาครัฐหลายๆ แห่งทีเดียวกำลังเปลี่ยนแปลงเม็ดเงินลงทุนระยะยาวของพวกตนออกมาจากพวกดัชนีหลักทรัพย์ที่นอนแน่นิ่งอยู่เฉยๆ และหันมาหาพวกภาคเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ ขณะที่พวกกองทุนเวนเจอร์แคปิตอลก็กำลังแตกแยกออกไปตามเส้นสายทางอุดมการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

พวกนักลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาดกำลังถอยห่างออกจากพวกดีลข้ามพรมแดนโดยเฉพาะในประดาอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง เงินทุนที่ฉลาดหลักแหลมนั้นทราบดีว่านี่แหละคือแนวโน้มใหญ่ระดับภาพรวม (macro megatrend)

สิ่งที่การพูดจาในลอนดอนสามารถเสนอให้ได้ในสัปดาห์นี้ คือบันทึกย่อการเจรจาระหว่างสองฝ่ายที่ไม่เพียงเป็นการบอกกล่าวถึงจุดยืนทางนโยบายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองอีกด้วย ระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกทั้ง 2 รายนี้ มีศักยภาพที่จะอยู่ร่วมกันไปโดยมีการจัดวางพวกราวกั้นกันชนเอาไว้ไม่ให้ต้องปะทะกัน หรือว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ระเบียบทางเศรษฐกิจที่จะแยกขาดออกเป็น 2 ขั้วอย่างเต็มที่เต็มพิกัดกันแน่?

พวกตลาดการเงินนั้นกำหนดราคาขึ้นมาในขณะที่อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงเสมอมา แต่สำหรับคราวน้เป็นอะไรที่อยู่ในระดับรากฐานมากกว่านั้นเสียอีก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดราคาในท่ามกลางการมองโลก หรือก็คือโลกทัศน์ ที่เป็นปรปักษ์กัน และการพูดจาที่ลอนดอนคือจุดที่บทใหม่บทถัดไปเริ่มต้นขึ้นมา

ไนเจล กรีน  เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้งกลุ่มเดอเวียร์ (deVere
Group)หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและองค์การด้านเทคโนโลยีทางการเงิน
(ฟินเทค) อิสระรายใหญ่ที่สุดของโลก

กำลังโหลดความคิดเห็น