xs
xsm
sm
md
lg

จีนไม่อับจน! ผู้บริหาร Huawei ยอมรับชิป ‘ล้าหลัง’ สหรัฐฯ หนึ่งรุ่น แต่บริษัทมีวิธีแก้ไขเพิ่มประสิทธิภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี (Huawei Technologies) ออกมายอมรับวันนี้ (10 มิ.ย.) ว่าชิปของหัวเว่ยยังคง “ล้าหลัง” ชิปของบริษัทคู่แข่งจากสหรัฐฯ อยู่หนึ่งรุ่น ทว่าบริษัทกำลังหาแนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพชิปด้วยวิธีการต่างๆ เช่น cluster computing

ในบทสัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี เหริน ระบุว่า หัวเว่ยลงทุนเพื่อการวิจัยในแต่ละปีสูงถึง 180,000 ล้านหยวน และเล็งเห็นโอกาสในการผลิต compound chips ซึ่งหมายถึงชิปที่ทำขึ้นจากองค์ประกอบหลายส่วน

“ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องชิป” เหริน ให้สัมภาษณ์ โดยหมายถึงอุปสรรคที่จีนกำลังเผชิญจากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

บทความชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ลงหน้าหนึ่งของพีเพิลส์เดลี ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐฯ เริ่มต้นเจรจาการค้าเป็นวันที่ 2 ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ โดยคาดว่ามาตรการกีดกันเทคโนโลยีจีนจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำขึ้นหารือด้วย

ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการจำกัดการส่งออกหลายระลอกโดยหวังสกัดกั้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการทหารของจีน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ก็ส่งผลให้หัวเว่ยและบริษัทอื่นๆ ในจีนไม่สามารถเข้าถึงชิปขั้นสูงและอุปกรณ์ที่จะใช้ในการผลิตชิปเหล่านั้น

บทสัมภาษณ์ของ เหริน ถือเป็นครั้งแรกที่ตัวเขาเองหรือหัวเว่ยออกมาพูดถึงความพยายามของบริษัทที่จะพัฒนาชิประดับก้าวหน้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดร้อนในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ

เหริน ย้ำว่า จีนมีผู้ผลิตชิปมากมายหลายเจ้า และหัวเว่ยก็เป็นเพียงผู้ผลิตรายหนึ่ง

“สหรัฐฯ ประเมินความสำเร็จของหัวเว่ยสูงเกินไป หัวเว่ยไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราคงต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อไปให้ถึงจุดที่พวกเขาคาดหวัง” เหริน กล่าว

“ชิปตัวหนึ่งของเรายังล้าหลังสหรัฐฯ อยู่หนึ่งรุ่น แต่เราใช้คณิตศาสตร์มาเป็นตัวเสริมฟิสิกส์ ใช้กฎที่ไม่ใช่ของมัวร์เข้ามาช่วยเสริมกฎของมัวร์ และใช้ cluster computing มาช่วยเสริมชิปตัวเดี่ยวๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าเข้าเกณฑ์การใช้งานจริง ซอฟต์แวร์ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเรา” เขากล่าว


Cluster computing หมายถึงการใช้คอมพิวเตอร์หลายตัวทำงานพร้อมกัน และกฎของมัวร์ หรือ Moore’s law นั้นหมายถึงทฤษฎีที่คิดค้นโดย กอร์ดอน มัวร์ ผู้ร่วมก่อตั้งอินเทล (Intel) โดยสื่อถึงความรวดเร็วในการพัฒนาชิป

ปัจจุบันหัวเว่ยได้ปล่อยชิปเอไอซีรีส์ Ascend ออกสู่ท้องตลาดจีนเพื่อแข่งขันกับชิปของคู่แข่งระดับโลกอย่าง Nvidia

เดือนที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนว่า การใช้ชิป Ascend ของหัวเว่ยจะเข้าข่ายละเมิดกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

แม้ชิปเอไอของ Nvidia จะมีพลังประมวลผลสูงกว่าของชิปหัวเว่ย แต่การที่สหรัฐฯ มีนโยบายห้ามไม่ให้ Nvidia ขายชิปรุ่นที่แรงที่สุดให้กับจีนทำให้บริษัทต้องเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับหัวเว่ยไปมาก

เมื่อเดือน เม.ย. หัวเว่ย ได้เปิดตัวระบบ AI CloudMatrix 384 ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัวในรูปแบบคลัสเตอร์เพื่อใช้ฝึกโมเดลเอไอ ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่า ระบบเช่นนี้สามารถเอาชนะระบบ GB200 NVL72 ของ Nvidia ได้ในบางเมตริก

ดีแลน พาเทล ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ SemiAnalysis ระบุบทความซึ่งเผยแพร่ในเดือน เม.ย. ว่า ประสิทธิภาพของ AI CloudMatrix 384 บ่งบอกว่าหัวเว่ยสร้างระบบเอไอที่อาจจะเหนือชั้นกว่า Nvidia ได้แล้ว

ทั้ง Nvidia และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงของ เหริน

บอสใหญ่หัวเว่ยอธิบายเพิ่มเติมว่า งบวิจัยของหัวเว่ยในแต่ละปีแบ่งออกเป็นงบเพื่อการวิจัยเชิงทฤษฎีราว 1 ใน 3 และที่เหลือเป็นงบเพื่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

“หากปราศจากทฤษฎี ก็จะไม่มีการฝ่าทะลุไปสู่สิ่งใหม่ๆ และเราจะไม่สามารถก้าวทันสหรัฐอเมริกาได้” เขากล่าว

ที่มา: รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น